Article

งานวิจัยชี้ Work from Home ดีกว่าเข้าทำงานทีออฟฟิต

Work from Home ช่วยให้พนักงานมีอิสระ ลดความเครียด

จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยซิดนีย์ ได้ทำการศึกษาพนักงานกว่า 47,264 คน พบว่า การทำงานที่บ้านช่วยส่งเสริมความสุขให้กับพนักงานได้มากมายหลายด้าน และมีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพราะพวกเขาจะมีสมาธิจดจ่อกับการทำงานมากกว่าปกติ ไม่มีสิ่งใดมารบกวน หรือชวนคุยเหมือนกับการเข้าออฟฟิศ

หลายคนอาจมองว่า ทำงานที่บ้านไม่มีเจ้านายจู้จี้ สามารถเล่น หรือทำในสิ่งอื่นๆ ได้ตลอดเวลา แบบนี้งานจะไม่เสียเหรอ?

ตรงนี้ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลด้วยเช่นกัน ส่วนใหญ่ถ้ามีการกำหนดเดดไลน์ได้ชัดเจนว่างานจะต้องส่งเมื่อไหร่ ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพนักงานในการบริหารจัดการการทำงานของตัวเองต่อไป พวกเขาจะรู้สึกถึงการมีอิสระ และจัดสรรเวลางานได้เป็นอย่างดี

แม้คนเราจะมีเวลาเท่ากัน แต่วงจรชีวิตของมนุษย์เราต่างกัน บางคนอาจชอบการทำงานตอนเช้า เพื่อให้มีเวลาเหลือช่วงเย็น ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวได้เต็มที่ ในขณะที่บางคนชื่นชอบการทำงานยามดึก ที่ทุกสิ่งรอบตัวเงียบสงบ และมีสมาธิจดจ่อกับการทำงานโดยไม่มีสิ่งใดรบกวน ซึ่งการให้ Work from Home จะเท่ากับการเลือกเวลาทำงานของพนักงานไปในตัว (นอกเสียจากว่างานนั้นจะต้องติดต่อกับคนหลายคน ก็อาจจะไม่สามารถทำแบบนี้ได้)

Work from Home ช่วยให้ทำงานได้ดีขึ้น 13.5%

นอกจากมหาวิทยาลัยซิดนีย์จะยืนยันเรื่องนี้อย่างเต็มที่แล้ว มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเองก็เคยตีพิมพ์การวิจัยของพวกเขาเกี่ยวกับเรื่อง Work from Home ด้วยเช่นกัน ว่ามันช่วยให้ทำงานได้สำเร็จลุล่วงมากกว่าการที่ถูกบังคับให้ต้องใช้ชีวิตแบบเข้าออฟฟิศอย่างเห็นได้ชัด

โดยทำการจัดแบ่งพนักงานออกเป็น 2 กลุ่ม เพื่อวัดประสิทธิภาพในการทำงาน ซึ่งกลุ่มแรกคือ กลุ่มที่ต้องเข้าออฟฟิศ มาทำงานปกติ และอีกกลุ่มคือกลุ่มที่ Work from Home ผลปรากฏว่า พนักงานที่ทำงานจากที่บ้านนั้นทำงานได้สำเร็จมากกว่าพนักงานอีกกลุ่มถึง 13.5% เลยทีเดียว

ที่สำคัญยังมีการยืนยันจากงานศึกษาชิ้นอื่นๆ เพิ่มเติมอีกต่างหากว่า การที่พนักงานได้ทำงานที่บ้าน แบบ Work from Home 3-4 วันต่ออาทิตย์ จะช่วยให้เขารู้สึกมีส่วนร่วมกับงานมากขึ้นถึง 33% สูงกว่าพนักงานที่เข้าออฟฟิศเสียอีก นั่นเพราะพวกเขาได้จดจ่อกับงานตัวเอง และหน้าที่ที่ทำอย่างเต็มที่ เหมือนเป็นความรับผิดชอบของตัวเองโดยตรง แบบที่ไม่ได้ฝืนใจทำ หรือโดนบังคับ

ทัศนคติการมาทำงานที่แตกต่างกัน ระหว่างการที่ต้องตื่นเช้าเพราะมีกฎระเบียบบังคับเอาไว้ กับการที่ใช้ชีวิตอย่างอิสระด้วยใจตัวเอง สองสิ่งนี้ส่งผลต่อกระบวนการคิดและการทำงาน ให้ออกมามีผลดีอย่างที่คุณคาดไม่ถึง

Work from Home ประหยัดต้นทุนให้บริษัทได้

นอกจากนี้การ Work from Home ยังเป็นเหมือนการช่วยลดภาระต้นทุนของบริษัทโดยตรงอีกต่างหาก ซึ่งถ้าไม่มีพนักงานเข้าออฟฟิศ ก็จะไม่เสียค่าน้ำ ค่าไฟ และต้องคอยจ้างแม่บ้านมาดูแลทุกวัน หรือถ้ามองให้ลึกกว่านั้นก็จะลดอัตราการสึกหรอของอุปกรณ์เครื่องใช้ในสำนักงานทุกอย่างได้อีกเช่นกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถึงแม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่การลดลงของมันในแต่ละวัน เมื่อคิดคำนวณออกมาเป็นรายปีจะเห็นได้เลยว่าค่าใช้จ่ายของคุณลดลงไปเยอะมากจริงๆ

นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างจากการ Work from Home ของประเทศอเมริกาให้เห็นอีกด้วยว่า บริษัทส่วนใหญ่จะอนุญาตให้พนักงาน Work from Home ได้จริง แต่จะแลกมาด้วยการหักรายได้จากพนักงาน 8% จากเงินเดือน เพราะถือว่าเป็นการลดต้นทุนในการใช้ชีวิตของพนักงานไปในตัว ไม่ต้องเสียค่าเดินทาง ไม่ต้องเสียเวลาเหนื่อยรถติด หรือไม่ต้องเสียแม้แต่ค่าซื้อชุดใหม่ๆ ใส่มาทำงาน ทุกอย่างเป็นรายจ่ายที่พนักงานต้องแบกรับทั้งสิ้น

การ Work from Home ที่แลกกับการหัก % ที่ไม่ได้เยอะตรงนี้ จะทำให้พนักงานรู้สึกคุ้มค่ามากกว่า และไม่รู้สึกว่าโดนเอาเปรียบ พร้อมทั้งคุณเองก็ได้ประหยัดต้นทุนบริษัทไปในตัว เป็นสถานการณ์ win-win ที่ได้ประโยชน์และสร้างความสุขให้กันทั้งสองฝ่าย

Work from Home อาจจะไม่จำเป็นต้องทำทุกวัน จนกระทั่งไม่ต้องเปิดสำนักงานของตัวเอง เพราะสุดท้ายยังไงคุณก็ยังจำเป็นต้องมีออฟฟิศ มีวันที่ต้องเข้าใช้ออฟฟิศอยู่ดี เพียงแต่อาจจะบาลานซ์การทำงานให้มันง่ายขึ้น โดยการเริ่มจากปรับการทำงานธรรมดาๆ ให้ Work from Home อาทิตย์ละ 1-2 วัน การเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ ตรงนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้องค์กรคุณได้รับผลกระทบไปในทางที่ดีขึ้น เห็นผลลัพธ์ของงานที่มีประสิทธิภาพในเวลาอันรวดเร็ว

ขอบคุณที่มา https://www.bangkokbanksme.com/en/why-work-from-home


ภาพประกอบ pexels.com