ArticleSEO

ตรวจสอบ SEO สำหรับอีคอมเมิร์ซ: สำหรับปี 2025

เพื่อนๆ นักขายออนไลน์ทุกท่าน! วันนี้ผมจะมาแนะนำ เกี่ยวกับการทำ SEO สำหรับร้านค้าออนไลน์ หรือที่เราเรียกกันว่า อีคอมเมิร์ซ (eCommerce) นั่นเองครับ ในปี 2025 ที่การแข่งขันสูงขึ้นเรื่อยๆ การทำ SEO ให้ดี ถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้ร้านค้าของเราโดดเด่นขึ้นมาได้เลยครับ เพราะกว่า 70% ของนักช้อปออนไลน์ในปัจจุบัน เริ่มต้นการค้นหาสินค้าจาก Search Engine เช่น Google นั่นเอง

เลือกอ่าน หัวข้อที่สนใจ

SEO สำหรับอีคอมเมิร์ซคืออะไร?

SEO หรือ Search Engine Optimization ก็คือ การปรับแต่งเว็บไซต์ของเราให้เป็นมิตรกับ Search Engine อย่าง Google เพื่อให้เว็บไซต์ของเราแสดงผลในอันดับต้นๆ ของหน้าผลการค้นหา เมื่อลูกค้าค้นหาสินค้าที่เกี่ยวข้องกับร้านเราครับ ซึ่ง SEO สำหรับอีคอมเมิร์ซเนี่ย จะแตกต่างจากการทำ SEO ทั่วไปตรงที่ เราไม่ได้เน้นแค่ให้คนเข้ามาดูเว็บไซต์ของเราเยอะๆ เท่านั้น แต่เรายังต้องทำให้คนที่เข้ามากลายเป็นลูกค้าตัวจริงด้วยครับ หลายๆ ร้านค้าอาจจะประสบปัญหา คนเข้าเว็บเยอะ แต่ไม่ซื้อของ เพราะฉะนั้นการทำ SEO ที่เน้นไปที่ความต้องการของผู้ซื้อ และปรับแต่งให้เกิดการซื้อจริง จะช่วยให้ยอดขายของเราดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลยล่ะครับ

การตรวจสอบ SEO สำหรับอีคอมเมิร์ซคืออะไร?

การตรวจสอบ SEO (SEO Audit) ก็คือ การที่เราเอาเว็บไซต์ของเรามา “สแกน” อย่างละเอียด เพื่อดูว่ามีตรงไหนที่ต้องแก้ไข ปรับปรุง เพื่อให้เว็บไซต์ของเรา “ถูกใจ” Search Engine มากขึ้นครับ เหมือนเป็นการตรวจสุขภาพให้เว็บไซต์ของเรานั่นเอง ซึ่งการตรวจสอบนี้ จะช่วยให้เราเห็นปัญหาที่ซ่อนอยู่ และหาทางแก้ไขได้อย่างตรงจุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโครงสร้างเว็บไซต์, ความเร็วในการโหลด, การใช้งานบนมือถือ, หรือแม้กระทั่งเนื้อหาในเว็บไซต์ของเราเองครับ

ความสำคัญของการตรวจสอบ SEO สำหรับอีคอมเมิร์ซ

การตรวจสอบ SEO เป็นเหมือน “เข็มทิศ” ที่นำทางให้ร้านค้าออนไลน์ของเราไปสู่ความสำเร็จครับ โดยการตรวจสอบนี้ จะช่วยให้เราเข้าใจว่า อะไรคือจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคในการทำ SEO ของร้านค้าเรา เหมือนกับการทำ SWOT analysis นั่นเองครับ การที่เราเข้าใจจุดนี้ จะทำให้เราสามารถวางแผนการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงหน้าสินค้า, การทำคอนเทนต์, หรือการปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์ของเรา

ทำไม SEO จึงจำเป็นสำหรับเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ?

สำหรับใครที่เพิ่งเริ่มทำ SEO แล้วยังไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงสำคัญ ผมจะอธิบายให้ฟังง่ายๆ เลยนะครับ SEO ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้ร้านค้าออนไลน์ของเรา “มีตัวตน” ในโลกดิจิทัลครับ ซึ่ง SEO ช่วยอะไรได้บ้าง มาดูกันครับ

  • เพิ่มการมองเห็น: การที่เว็บเราขึ้นอันดับต้นๆ ใน Google ลูกค้าก็จะมองเห็นเราง่ายขึ้น โอกาสที่จะคลิกเข้ามาดูสินค้าก็มากขึ้นตามไปด้วย
  • ดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย: SEO ที่ดีจะช่วยให้เราเข้าถึงลูกค้าที่กำลังมองหาสินค้าของเราจริงๆ ทำให้โอกาสในการขายสูงขึ้น
  • ประหยัดค่าใช้จ่าย: การทำ SEO เป็นการตลาดแบบ Organic ที่ยั่งยืนและประหยัดกว่าการลงโฆษณาในระยะยาว
  • สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน: ในยุคที่ทุกคนเริ่มซื้อของออนไลน์ เว็บไซต์ที่ทำ SEO ดีกว่า ก็จะได้เปรียบเหนือคู่แข่งที่ไม่ได้ทำ
  • ปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้: SEO ไม่ได้มีไว้เพื่อ Search Engine อย่างเดียว แต่ยังทำให้เว็บไซต์ของเราใช้งานง่ายขึ้น ลูกค้าก็แฮปปี้และกลับมาซื้อซ้ำอีก
  • เติบโตในระยะยาว: SEO จะช่วยให้ธุรกิจออนไลน์ของเราเติบโตได้อย่างยั่งยืน ไม่ใช่แค่ระยะสั้นๆ

7 แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับ SEO อีคอมเมิร์ซในปี 2025

มาดูกันครับว่า ในปี 2025 เราควรจะต้องทำ SEO แบบไหน ถึงจะปัง!

1. การวิจัยคีย์เวิร์ดสำหรับ SEO อีคอมเมิร์ซ

การหาคีย์เวิร์ดที่ใช่ ถือเป็น “หัวใจ” ของการทำ SEO เลยครับ เราต้องรู้ว่าลูกค้าของเราใช้คำอะไรในการค้นหาสินค้าที่เราขาย เพื่อที่เราจะได้ทำคอนเทนต์และปรับแต่งเว็บไซต์ของเราให้ตรงกับสิ่งที่ลูกค้าต้องการมากที่สุด ซึ่งการวิจัยคีย์เวิร์ด ก็ไม่ใช่แค่การหาคำที่คนค้นหาเยอะๆ อย่างเดียวนะครับ เราต้องดูด้วยว่า คีย์เวิร์ดนั้นตรงกับความต้องการของลูกค้าไหม เช่น ถ้าเราขายรองเท้าวิ่ง เราก็อาจจะใช้คีย์เวิร์ดอย่าง “รองเท้าวิ่งสำหรับคนเท้าแบน” แทนที่จะใช้แค่คำว่า “รองเท้า” ครับ

2. อย่าใส่คีย์เวิร์ดมากเกินไปในหน้าเว็บ

การใส่คีย์เวิร์ดเยอะๆ ไม่ได้ช่วยให้เว็บเราติดอันดับดีขึ้นนะครับ ตรงกันข้าม มันอาจจะทำให้เว็บเราโดน Google มองว่าเป็นการ “สแปม” อีกด้วย ทางที่ดี เราควรใส่คีย์เวิร์ดอย่างเป็นธรรมชาติ และใช้คำที่เกี่ยวข้อง หรือคำที่มีความหมายคล้ายๆ กันแทน จะช่วยให้เนื้อหาของเราอ่านลื่นไหล และเป็นมิตรกับทั้ง Google และลูกค้าของเรามากกว่าครับ

3. โครงสร้างหน้าเว็บอีคอมเมิร์ซเพื่อการจัดอันดับที่ดีขึ้น

เว็บไซต์ที่มีโครงสร้างดี ก็เหมือนบ้านที่มีการจัดห้องเป็นสัดส่วน ทำให้ทั้งคนและ Search Engine เข้าใจได้ง่ายว่าอะไรอยู่ตรงไหน ซึ่งโครงสร้างเว็บที่ดี ต้องมีการจัดหมวดหมู่สินค้าให้ชัดเจน มี URL ที่สื่อความหมาย และมี Breadcrumb navigation เพื่อให้ลูกค้าหาทางกลับได้ง่ายๆ ครับ

4. SEO ในหน้าเว็บสำหรับเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ

การทำ SEO ในหน้าเว็บ (On-Page SEO) ก็คือ การปรับแต่งรายละเอียดต่างๆ ในแต่ละหน้าของเว็บไซต์ของเรา เช่น ชื่อสินค้า, คำอธิบายสินค้า, รูปภาพ, และ Internal link ให้มีคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง และเป็นมิตรกับ Search Engine ครับ

5. SEO ทางเทคนิคสำหรับเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ

SEO ทางเทคนิค (Technical SEO) คือ การปรับแต่งเว็บไซต์ของเราให้ Search Engine เข้ามาเก็บข้อมูลได้ง่ายๆ และรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเร็วในการโหลด, การใช้งานบนมือถือ, ความปลอดภัยของเว็บไซต์ (HTTPS) หรือการแก้ไขข้อผิดพลาดต่างๆ ที่ Search Engine พบครับ

6. การตลาดคอนเทนต์สำหรับ SEO อีคอมเมิร์ซ

การตลาดคอนเทนต์ (Content Marketing) ก็คือ การสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจ และเป็นประโยชน์ต่อลูกค้า เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา ไม่ว่าจะเป็นบทความ, บทความรีวิว, วิดีโอ หรือ Infographic ซึ่งคอนเทนต์ที่ดี จะช่วยเพิ่มการเข้าชม, สร้างความเชื่อมั่น, และทำให้ลูกค้าอยากซื้อสินค้าของเรามากขึ้นครับ

7. การสร้างลิงก์สำหรับ SEO อีคอมเมิร์ซ

การสร้างลิงก์ (Link Building) คือ การที่เราทำให้เว็บไซต์อื่นๆ มาเชื่อมโยงมายังเว็บไซต์ของเรา ซึ่งถ้าเรามีลิงก์จากเว็บที่มีคุณภาพเยอะๆ ก็จะช่วยให้ Google มองว่าเว็บไซต์ของเรามีความน่าเชื่อถือ และมีโอกาสที่จะขึ้นอันดับดีขึ้นครับ

4 ขั้นตอน: รายการตรวจสอบการตรวจสอบ SEO อีคอมเมิร์ซในปี 2025

มาดูรายการตรวจสอบ (Checklist) ที่เราต้องทำในการตรวจสอบ SEO ของเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซของเรากันครับ

1. การตรวจสอบ SEO ในหน้าเว็บ

การตรวจสอบ SEO ในหน้าเว็บ คือการตรวจสอบทุกอย่างที่เราทำบนเว็บไซต์ของเรา ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหา, คีย์เวิร์ด, และรายละเอียดอื่นๆ ครับ

ประเมินการใช้คีย์เวิร์ดของคุณ

เราต้องตรวจสอบว่า คีย์เวิร์ดที่เราใช้ในเว็บไซต์ของเรา มีความเกี่ยวข้องกับสินค้าที่เราขาย และตรงกับความต้องการของลูกค้าจริงๆ ไหม? นอกจากนี้ เราควรตรวจสอบตำแหน่งที่เราวางคีย์เวิร์ดด้วย เช่น หัวข้อ, คำอธิบาย, และ Meta description

ปรับแต่ง Title Tag และ Meta Description ของคุณ

Title Tag และ Meta Description เป็นส่วนสำคัญที่ Search Engine ใช้ในการแสดงผลเว็บไซต์ของเรา เราควรปรับแต่งให้มีคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง และมีความน่าสนใจ เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าคลิกเข้ามาดูเว็บไซต์ของเราครับ

2. การตรวจสอบ SEO นอกหน้าเว็บ

การตรวจสอบ SEO นอกหน้าเว็บ (Off-Page SEO) คือ การตรวจสอบว่ามีเว็บไซต์อื่นๆ เชื่อมโยงมายังเว็บไซต์ของเรามากน้อยแค่ไหน ซึ่งการมีลิงก์จากเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของเราครับ เราควรหลีกเลี่ยงการสร้างลิงก์จากเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ หรือเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาไม่เกี่ยวข้องกับเรา

3. การตรวจสอบ SEO ทางเทคนิค

การตรวจสอบ SEO ทางเทคนิค คือ การตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของเรา มีความเร็วในการโหลด, รองรับการใช้งานบนมือถือ, และมีความปลอดภัย (HTTPS) หรือไม่? เราควรตรวจสอบ Sitemap, robots.txt, และข้อผิดพลาดอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นในเว็บไซต์ของเราครับ

4. การตรวจสอบเนื้อหา

การตรวจสอบเนื้อหา คือ การตรวจสอบว่าเนื้อหาในเว็บไซต์ของเรา มีคุณภาพ, มีความเป็นเอกลักษณ์, และตรงกับความต้องการของลูกค้าหรือไม่? เราควรหลีกเลี่ยงการใช้เนื้อหาซ้ำ (Duplicate content) และตรวจสอบลิงก์เสีย (Broken link) ที่อาจมีในเว็บไซต์ของเราครับ

สรุป

การทำ SEO สำหรับอีคอมเมิร์ซ เป็นเรื่องที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง และต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของ Search Engine อยู่เสมอ การตรวจสอบ SEO เป็นประจำ จะช่วยให้เราเห็นปัญหาและหาทางแก้ไขได้อย่างทันท่วงที อย่าลืมว่า SEO ไม่ใช่แค่การทำให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับต้นๆ เท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าของเราด้วยนะครับ ถ้าเพื่อนๆ ยังไม่มั่นใจว่าจะทำ SEO เองได้ไหม ก็ไม่ต้องกังวลนะครับ เพราะ Market Media Connect เรามีทีมงาน SEO มืออาชีพ ที่พร้อมจะช่วยเหลือเพื่อนๆ ทุกเมื่อเลยครับ

คำถามที่พบบ่อยสำหรับการตรวจสอบ SEO อีคอมเมิร์ซ

  1. จะวัดผลการทำ SEO ได้อย่างไร?
    • เราสามารถวัดผลการทำ SEO ได้จากหลายปัจจัย เช่น จำนวนผู้เข้าชม, อันดับคีย์เวิร์ด, อัตราการตีกลับ (Bounce Rate), เวลาที่ผู้เข้าชมอยู่ในเว็บไซต์, และยอดขายครับ
  2. การตรวจสอบ SEO จำเป็นสำหรับร้านค้าออนไลน์ขนาดเล็กไหม?
    • จำเป็นอย่างยิ่งครับ ไม่ว่าร้านค้าออนไลน์ของคุณจะมีขนาดเล็กหรือใหญ่ การทำ SEO จะช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงคุณได้มากขึ้น และสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน
  3. ควรตรวจสอบ SEO บ่อยแค่ไหน?
    • ควรตรวจสอบ SEO อย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของเรายังคงเป็นไปตามเกณฑ์ของ Search Engine นอกจากนี้ เราควรตรวจสอบเมื่อมีการปรับเปลี่ยนเว็บไซต์ครั้งใหญ่ หรือเมื่อมีการเปิดตัวสินค้าใหม่
  4. ต้องใช้อะไรบ้างในการตรวจสอบ SEO?
    • เราสามารถใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น Google Analytics, Google Search Console, Ahrefs, SEMrush, และ Screaming Frog เพื่อช่วยในการวิเคราะห์และตรวจสอบ SEO ครับ
  5. ปัญหาที่พบบ่อยในการตรวจสอบ SEO คืออะไร?
    • ปัญหาที่พบบ่อยในการตรวจสอบ SEO คือ การใช้คีย์เวิร์ดที่ไม่เหมาะสม, ความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ช้า, การมีลิงก์ที่ไม่ดี, และคุณภาพของเนื้อหาไม่ดีครับ

Close