ArticleSEO

การจัดการ Crawl Budget เพื่อ SEO ที่ดีขึ้นในปี 2024

Crawl Budget คืออะไร? Crawl Budget เป็นคำศัพท์ด้าน SEO ที่หมายถึงจำนวนหน้าเว็บไซต์ที่ Search Engine อย่าง Google จะเข้ามาเยี่ยมชมและเก็บข้อมูล (index) ไว้ในฐานข้อมูลของตัวเอง ภายในช่วงเวลาที่กำหนด โดยขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยหลักๆ คือ Crawl Limit (ขีดจำกัดการเข้าเว็บ) และ Crawl Demand (ความต้องการในการเข้าเว็บ)

Crawl Budget สำคัญต่อ SEO อย่างไร?

Crawl Budget มีความสำคัญต่อ SEO เพราะมันส่งผลต่อการที่ Search Engine จะค้นหาและเก็บข้อมูลหน้าเว็บไซต์ของคุณ ยิ่ง Google เก็บข้อมูลหน้าเว็บของคุณไว้มากเท่าไหร่ หน้าเว็บเหล่านั้นก็ยิ่งมีโอกาสที่จะติดอันดับบนหน้าค้นหา (SERPs) มากขึ้นด้วย

เว็บไซต์แบบไหนที่ควรใส่ใจ Crawl Budget?

โดยปกติแล้ว เว็บไซต์ส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่อง Crawl Budget เพราะ Google มีระบบที่มีประสิทธิภาพในการค้นหาและเก็บข้อมูลหน้าเว็บไซต์อยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม เว็บไซต์ประเภทต่อไปนี้ควรให้ความสำคัญกับ Crawl Budget เป็นพิเศษ

  • เว็บไซต์ขนาดใหญ่: เว็บไซต์ที่มีหน้าเว็บมากกว่า 10,000 หน้า อย่างเช่นเว็บไซต์ E-commerce ซึ่ง Google อาจจะเข้าถึงและเก็บข้อมูลได้ไม่ครบทุกหน้า
  • เว็บไซต์ที่มีการเพิ่มส่วนใหม่: หากคุณเพิ่งเพิ่มส่วนใหม่ที่มีหน้าเว็บหลายร้อยหน้า คุณควรแน่ใจว่า Crawl Budget มีเพียงพอที่จะเก็บข้อมูลหน้าเว็บเหล่านั้นได้อย่างรวดเร็ว
  • เว็บไซต์ที่มีการ Redirect เยอะ: การ Redirect หน้าเว็บไซต์จำนวนมากอาจใช้ Crawl Budget ดังนั้นควรลดจำนวนการ Redirect

เทคนิคการจัดการ Crawl Budget

  • ติดตามข้อมูลการ Crawl: คุณสามารถใช้ Google Search Console เพื่อดูข้อมูลการ Crawl ของเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งจะช่วยให้คุณเข้าใจพฤติกรรมของ Googlebot (โปรแกรมค้นหาข้อมูลของ Google)
  • ปรับปรุงความเร็วของเว็บไซต์: เว็บไซต์ที่รวดเร็วจะช่วยให้ Googlebot สามารถเข้าถึงและเก็บข้อมูลหน้าเว็บได้มากขึ้น
  • ปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์: โครงสร้างเว็บไซต์ที่ดีจะช่วยให้ Googlebot ค้นหาและเก็บข้อมูลหน้าเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น
  • ลดจำนวนการ Redirect: การ Redirect จำนวนมากจะใช้ Crawl Budget ดังนั้นควรลดจำนวนการ Redirect
  • จัดการ URL Parameters: การใช้ URL Parameters มากเกินไปอาจทำให้เกิด Duplicate Content (เนื้อหาที่ซ้ำ) ซึ่งจะสิ้นเปลือง Crawl Budget ดังนั้นควรลดจำนวน URL Parameters
  • กำจัดหน้า Error 404 และ 410: หน้า Error เหล่านี้จะใช้ Crawl Budget โดยไม่จำเป็น ดังนั้นควรลบหน้า Error เหล่านี้ออก
  • จัดลำดับความสำคัญของหน้าเว็บ: คุณควรแน่ใจว่า Googlebot สามารถเข้าถึงหน้าเว็บที่สำคัญที่สุดของคุณได้อย่างง่ายดาย
  • อัพเดท Sitemap เป็นประจำ: Sitemap เป็นเหมือนแผนที่ของเว็บไซต์ การอัพเดท Sitemap เป็นประจำจะช่วยให้ Google ค้นหาหน้าเว็บใหม่ๆ ได้เร็วขึ้น
  • เพิ่มความนิยมของหน้าเว็บ: หน้าเว็บที่มีผู้เข้าชมมากจะถูก Googlebot เข้าถึงและเก็บข้อมูลบ่อยครั้งขึ้น

JavaScript กับ SEO

JavaScript ช่วยสร้างเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาแบบไดนามิก แต่ในขณะเดียวกันก็อาจสร้างความยุ่งยากให้กับการทำงานของ Search Engine ในการเก็บข้อมูล

เทคนิคการปรับแต่ง JavaScript เพื่อ SEO

  • ใส่ Title และ Description ที่แตกต่างให้กับแต่ละหน้า
  • เขียนโค้ดที่เป็นมิตรกับ Search Engine
  • ใช้ HTTP Status Code ที่เหมาะสม
  • ป้องกัน Soft 404 Error ใน Single Page Application (SPA)

การจัดการ Crawl Budget เพื่อ SEO ที่ดีขึ้นในปี 2024

ตัวอย่าง:

  • เว็บไซต์ E-commerce ขนาดใหญ่ที่มีหน้าสินค้ามากกว่า 10,000 หน้า
  • เว็บไซต์ข่าวที่มีบทความใหม่ๆ เพิ่มเติมทุกวัน
  • เว็บไซต์ที่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเว็บไซต์บ่อยครั้ง

ข้อดี:

  • เว็บไซต์ของคุณติดอันดับบนหน้าค้นหาได้เร็วขึ้น
  • หน้าเว็บที่สำคัญของคุณจะได้รับการอัปเดตบ่อยครั้ง
  • เว็บไซต์ของคุณจะมีประสิทธิภาพดีขึ้น
  • คุณจะได้รับ Traffic จาก Search Engine มากขึ้น

FAQ:

Q: Crawl Budget คืออะไร?

A: Crawl Budget เป็นจำนวนหน้าเว็บไซต์ที่ Search Engine อย่าง Google จะเข้ามาเยี่ยมชมและเก็บข้อมูล (index) ไว้ในฐานข้อมูลของตัวเอง ภายในช่วงเวลาที่กำหนด

Q: Crawl Budget สำคัญต่อ SEO อย่างไร?

A: Crawl Budget มีความสำคัญต่อ SEO เพราะมันส่งผลต่อการที่ Search Engine จะค้นหาและเก็บข้อมูลหน้าเว็บไซต์ของคุณ ยิ่ง Google เก็บข้อมูลหน้าเว็บของคุณไว้มากเท่าไหร่ หน้าเว็บเหล่านั้นก็ยิ่งมีโอกาสที่จะติดอันดับบนหน้าค้นหา (SERPs) มากขึ้นด้วย

Q: เว็บไซต์แบบไหนที่ควรใส่ใจ Crawl Budget?

A: โดยปกติแล้ว เว็บไซต์ส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่อง Crawl Budget เพราะ Google มีระบบที่มีประสิทธิภาพในการค้นหาและเก็บข้อมูลหน้าเว็บไซต์อยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม เว็บไซต์ประเภทต่อไปนี้ควรให้ความสำคัญกับ Crawl Budget เป็นพิเศษ

  • เว็บไซต์ขนาดใหญ่: เว็บไซต์ที่มีหน้าเว็บมากกว่า 10,000 หน้า อย่างเช่นเว็บไซต์ E-commerce ซึ่ง Google อาจจะเข้าถึงและเก็บข้อมูลได้ไม่ครบทุกหน้า
  • เว็บไซต์ที่มีการเพิ่มส่วนใหม่: หากคุณเพิ่งเพิ่มส่วนใหม่ที่มีหน้าเว็บหลายร้อยหน้า คุณควรแน่ใจว่า Crawl Budget มีเพียงพอที่จะเก็บข้อมูลหน้าเว็บเหล่านั้นได้อย่างรวดเร็ว
  • เว็บไซต์ที่มีการ Redirect เยอะ: การ Redirect หน้าเว็บไซต์จำนวนมากอาจใช้ Crawl Budget ดังนั้นควรลดจำนวนการ Redirect

Q: เทคนิคการจัดการ Crawl Budget มีอะไรบ้าง?

A: เทคนิคการจัดการ Crawl Budget มีดังนี้

  • ติดตามข้อมูลการ Crawl: คุณสามารถใช้ Google Search Console เพื่อดูข้อมูลการ Crawl ของเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งจะช่วยให้คุณเข้าใจพฤติกรรมของ Googlebot (โปรแกรมค้นหาข้อมูลของ Google)
  • ปรับปรุงความเร็วของเว็บไซต์: เว็บไซต์ที่รวดเร็วจะช่วยให้ Googlebot สามารถเข้าถึงและเก็บข้อมูลหน้าเว็บได้มากขึ้น
  • ปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์: โครงสร้างเว็บไซต์ที่ดีจะช่วยให้ Googlebot ค้นหาและเก็บข้อมูลหน้าเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น
  • ลดจำนวนการ Redirect: การ Redirect จำนวนมากจะใช้ Crawl Budget ดังนั้นควรลดจำนวนการ Redirect
  • จัดการ URL Parameters: การใช้ URL Parameters มากเกินไปอาจทำให้เกิด Duplicate Content (เนื้อหาที่ซ้ำ) ซึ่งจะสิ้นเปลือง Crawl Budget ดังนั้นควรลดจำนวน URL Parameters
  • กำจัดหน้า Error 404 และ 410: หน้า Error เหล่านี้จะใช้ Crawl Budget โดยไม่จำเป็น ดังนั้นควรลบหน้า Error เหล่านี้ออก
  • จัดลำดับความสำคัญของหน้าเว็บ: คุณควรแน่ใจว่า Googlebot สามารถเข้าถึงหน้าเว็บที่สำคัญที่สุดของคุณได้อย่างง่ายดาย
  • อัพเดท Sitemap เป็นประจำ: Sitemap เป็นเหมือนแผนที่ของเว็บไซต์ การอัพเดท Sitemap เป็นประจำจะช่วยให้ Google ค้นหาหน้าเว็บใหม่ๆ ได้เร็วขึ้น
  • เพิ่มความนิยมของหน้าเว็บ: หน้าเว็บที่มีผู้เข้าชมมากจะถูก Googlebot เข้าถึงและเก็บข้อมูลบ่อยครั้งขึ้น

Q: JavaScript กับ SEO มีความสัมพันธ์กันอย่างไร?

A: JavaScript ช่วยสร้างเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาแบบไดนามิก แต่ในขณะเดียวกันก็อาจสร้างความยุ่งยากให้กับการทำงานของ Search Engine ในการเก็บข้อมูล

Q: เทคนิคการปรับแต่ง JavaScript เพื่อ SEO มีอะไรบ้าง?

A: เทคนิคการปรับแต่ง JavaScript เพื่อ SEO มีดังนี้

  • ใส่ Title และ Description ที่แตกต่างให้กับแต่ละหน้า: Title และ Description เป็นข้อมูลที่แสดงบนหน้าค้นหา การใส่ Title และ Description ที่แตกต่างให้กับแต่ละหน้าจะช่วยให้ Search Engine เข้าใจเนื้อหาของหน้าเว็บของคุณได้ดียิ่งขึ้น
  • เขียนโค้ดที่เป็นมิตรกับ Search Engine: หลีกเลี่ยงการใช้ JavaScript ที่ซับซ้อนซึ่งอาจทำให้ Search Engine เข้าใจเนื้อหาของหน้าเว็บของคุณได้ยาก
  • ใช้ HTTP Status Code ที่เหมาะสม: HTTP Status Code บอก Search Engine เกี่ยวกับสถานะของหน้าเว็บของคุณ การใช้ HTTP Status Code ที่เหมาะสมจะช่วยให้ Search Engine เข้าใจเนื้อหาของหน้าเว็บของคุณได้ดียิ่งขึ้น
  • ป้องกัน Soft 404 Error ใน Single Page Application (SPA): Soft 404 Error เกิดขึ้นเมื่อหน้าเว็บไม่สามารถโหลดได้ การป้องกัน Soft 404 Error ใน SPA จะช่วยให้ Search Engine เข้าใจเนื้อหาของหน้าเว็บของคุณได้ดียิ่งขึ้น

Q: Dynamic Rendering กับ SEO มีความสัมพันธ์กันอย่างไร?

A: Dynamic Rendering เป็นเทคนิคที่ใช้ในการสร้างหน้าเว็บแบบไดนามิก Dynamic Rendering ช่วยให้ Search Engine เข้าใจเนื้อหาของหน้าเว็บของคุณได้ดียิ่งขึ้น

Q: Prerendering กับ SEO มีความสัมพันธ์กันอย่างไร?

A: Prerendering เป็นเทคนิคที่ใช้ในการสร้างหน้าเว็บแบบ static Prerendering ช่วยให้ Search Engine เข้าถึงและเก็บข้อมูลหน้าเว็บของคุณได้เร็วขึ้น

Q: ติดตามประสิทธิภาพของ Crawl Budget ได้อย่างไร?

A: คุณสามารถใช้ Google Search Console เพื่อติดตามประสิทธิภาพของ Crawl Budget Google Search Console จะแสดงข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับ Crawl Budget ของเว็บไซต์ของคุณ เช่น จำนวนหน้าเว็บที่ Googlebot เข้าถึง จำนวนหน้าเว็บที่ถูกเก็บข้อมูล และจำนวนหน้าเว็บที่ถูกบล็อก

Q: ควรทำอย่างไรหาก Crawl Budget ของฉันไม่เพียงพอ?

A: หาก Crawl Budget ของคุณไม่เพียงพอ คุณสามารถลองทำสิ่งต่อไปนี้

  • ปรับปรุงความเร็วของเว็บไซต์: เว็บไซต์ที่รวดเร็วจะช่วยให้ Googlebot เข้าถึงและเก็บข้อมูลหน้าเว็บของคุณได้มากขึ้น
  • ลดจำนวนการ Redirect: การ Redirect จำนวนมากจะใช้ Crawl Budget ดังนั้นควรลดจำนวนการ Redirect
  • จัดการ URL Parameters: การใช้ URL Parameters มากเกินไปอาจทำให้เกิด Duplicate Content (เนื้อหาที่ซ้ำ) ซึ่งจะสิ้นเปลือง Crawl Budget ดังนั้นควรลดจำนวน URL Parameters
  • กำจัดหน้า Error 404 และ 410: หน้า Error เหล่านี้จะใช้ Crawl Budget โดยไม่จำเป็น ดังนั้นควรลบหน้า Error เหล่านี้ออก
  • ใช้ Dynamic Rendering หรือ Prerendering: Dynamic Rendering และ Prerendering ช่วยให้ Search Engine เข้าถึงและเก็บข้อมูลหน้าเว็บของคุณได้เร็วขึ้น

Q: ควรใช้เครื่องมืออะไรบ้างในการจัดการ Crawl Budget?

A: มีเครื่องมือต่างๆ มากมายที่สามารถช่วยคุณจัดการ Crawl Budget เครื่องมือเหล่านี้มีฟีเจอร์ต่างๆ เช่น การติดตามประสิทธิภาพของ Crawl Budget การวิเคราะห์การใช้ Crawl Budget และการระบุปัญหาที่อาจทำให้ Crawl Budget ไม่เพียงพอ

Q: ควรปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO หรือไม่?

A: หากคุณต้องการความช่วยเหลือในการจัดการ Crawl Budget คุณควรปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO ผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO สามารถช่วยคุณวิเคราะห์ Crawl Budget ของคุณ ระบุปัญหา และพัฒนากลยุทธ์เพื่อปรับปรุง Crawl Budget ของคุณ

หมายเหตุ: บทความนี้เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับการจัดการ Crawl Budget คุณควรศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับหัวข้อนี้ก่อนที่จะนำเทคนิคเหล่านี้ไปใช้กับเว็บไซต์ของคุณ

ข้อสรุป

การจัดการ Crawl Budget อย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้หน้าเว็บที่สำคัญของคุณถูกเก็บข้อมูลโดย Search Engine ส่งผลให้หน้าเว็บเหล่านั้นติดอันดับบนหน้าค้นหาได้ง่ายขึ้น

อ้างอิงที่มาจาก Maximizing SEO in 2024: The Role of Crawl Budget Optimization | by Tomas Laurinavicius | Medium

Close
WiSDOM FiRM
Privacy Overview

This website uses cookies so that we can provide you with the best user experience possible. Cookie information is stored in your browser and performs functions such as recognising you when you return to our website and helping our team to understand which sections of the website you find most interesting and useful.