7 เคล็ดลับสำหรับมือใหม่ SEO: สร้างรากฐานสู่ความสำเร็จ
SEO อาจดูน่ากลัวสำหรับผู้เริ่มต้น แต่เคล็ดลับเหล่านี้จะช่วยให้คุณเข้าใจพื้นฐานและสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง เพื่อความสำเร็จในอนาคต SEO เป็นเครื่องมือด้านการตลาด ที่ช่วยให้เว็บไซต์ หรือธุรกิจเติบโตได้ดีในโลกออนไลน์ หากคุณเพิ่งเริ่มต้น ลองอ่านบทความนี้
ทำไม SEO ถึงสำคัญสำหรับธุรกิจยุคใหม่
ภาพรวม SEO ที่เปลี่ยนไป
SEO ไม่ได้มีแค่การใส่คีย์เวิร์ดอีกต่อไปแล้ว มันพัฒนาไปมาก ตอนนี้ SEO เกี่ยวข้องกับหลายส่วนของ Digital Marketing
ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางใน SEO
ในอนาคต คุณอาจจะอยากเก่งเฉพาะด้าน เช่น SEO สำหรับเว็บไซต์ท้องถิ่น (Local SEO) หรือ SEO เชิงเทคนิค (Technical SEO) แต่ตอนนี้ มาเริ่มที่พื้นฐานกันก่อนดีกว่า
เคล็ดลับที่ 1: เริ่มต้นจากความเข้าใจธุรกิจ
ไม่ว่าคุณจะทำงานในบริษัท (In-house) หรือเอเจนซี่ อย่าเพิ่งรีบไปแก้ปัญหา SEO ทันที
แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่ meta tags, คีย์เวิร์ด, backlinks หรือโครงสร้าง URL ให้เริ่มจากการทำความเข้าใจธุรกิจก่อน
คำถามสำคัญที่ต้องถามเกี่ยวกับธุรกิจ
- ธุรกิจขายสินค้าหรือบริการอะไร?
- กลุ่มเป้าหมายคือใคร? (ถ้าทำงานในบริษัท บริษัทต้องการขายให้ใคร?)
- ทำไมลูกค้าควรเลือกบริษัทนี้ แทนที่จะเลือกคู่แข่ง? (อะไรคือจุดเด่น เช่น ราคา, คุณสมบัติพิเศษ หรือประโยชน์)
ทำความเข้าใจเป้าหมายและคู่แข่ง
ถ้ามีเวลา ลองถามเจ้านายหรือลูกค้าเพิ่มเติม:
- เป้าหมายของบริษัทคืออะไร?
- แผนระยะยาว 3-5 ปีของบริษัทคืออะไร? (มีแผนจะเปิดตัวสินค้าใหม่ หรือขยายไปตลาดใหม่ไหม?)
- คู่แข่งหลักคือใคร และพวกเขากำลังทำอะไร?
การเข้าใจคำตอบเหล่านี้จะช่วยให้วางแผน SEO ได้ดีขึ้น
เคล็ดลับที่ 2: ตั้งคำถามและเรียนรู้อย่างไม่หยุดนิ่ง
SEO ตอนนี้เกี่ยวข้องกับแทบทุกส่วนของ Digital Marketing
ดังนั้น คนทำ SEO มักจะต้องคุยกับคนอื่น ๆ ในทีมและแผนกอื่น ๆ บ่อย ๆ
อย่ากลัวที่จะถาม! การถามคำถามจะช่วยให้คุณเรียนรู้ได้เร็วขึ้น
เคล็ดลับที่ 3: สร้างความเข้าใจพื้นฐานของ SEO
อย่างที่บอกไปแล้วว่า SEO มีหลายส่วน ถ้าคุณเพิ่งเริ่มต้น ให้เริ่มจากพื้นฐาน: เว็บไซต์ และวิธีที่ Google แสดงผลการค้นหา
การวิเคราะห์หน้าเว็บและผลการค้นหา
เมื่อคุณเข้าใจธุรกิจแล้ว ลองทำแบบฝึกหัดง่ายๆ เพื่อวิเคราะห์การเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ของคุณ
เปิดหน้าสินค้า, หมวดหมู่ หรือบริการหลักในหน้าต่างหนึ่ง ในอีกหน้าต่างหนึ่ง ให้ค้นหาคำที่คุณคิดว่าผู้ใช้จะพิมพ์เพื่อค้นหาหน้านั้น
เปรียบเทียบสิ่งที่ปรากฏในผลการค้นหากับหน้าของคุณเองและหน้าที่ติดอันดับสำหรับคำนั้น
หากหน้าของคุณสอดคล้องกับผลการค้นหามากขึ้น ให้วิเคราะห์หน้าที่ติดอันดับสูงสุดและปรับองค์ประกอบที่ประสบความสำเร็จให้เข้ากับเว็บไซต์
ปรับปรุงเว็บไซต์ตามสิ่งที่ Google ให้ความสำคัญ
หัวใจหลักของ SEO คือการดูว่า Google คิดว่าอะไรสำคัญสำหรับสินค้าหรือบริการนั้นๆ แล้วทำให้ดีกว่าคู่แข่ง
คนทำ SEO หลายคนมัวแต่สนใจเครื่องมือและเทคนิค จนลืมดูผลการค้นหาจริงๆ
อย่าทำแบบนั้น! ให้การดูผลการค้นหาของ Google เป็นส่วนสำคัญในการทำ Research ของคุณ
เคล็ดลับที่ 4: ทดลองทำความเข้าใจด้านเทคนิคและสร้างสัมพันธ์กับนักพัฒนา
SEO เชิงเทคนิค (Technical SEO) เป็นส่วนที่ซับซ้อน
เริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยการถาม
ถ้าคุณใช้ CMS หลักๆ (เช่น WordPress, Shopify) พื้นฐานทางเทคนิคน่าจะโอเคอยู่แล้ว ดังนั้น ส่วนใหญ่ของ Technical SEO ในปัจจุบันจะเน้นที่การปรับปรุงเล็กๆ น้อยๆ
การเรียนรู้ด้านเทคนิคเป็นสิ่งสำคัญ แต่การเริ่มต้นที่ดีคือการสร้างความสัมพันธ์กับทีม Developer และถามคำถาม
การถามคำถามจะทำให้การเรียนรู้เป็นเรื่องสนุก และเกี่ยวข้องกับงานของคุณมากขึ้น
ประโยชน์ของการเข้าใจโค้ด
การลองเรียนเขียนโค้ด หรือสร้างเว็บไซต์เอง จะช่วยให้คุณพัฒนาทักษะด้านเทคนิคได้
บางคนบอกว่าคุณเป็นคนทำ SEO ที่เก่งได้โดยไม่ต้องมีความรู้ด้านเทคนิค – และก็ไม่คัดค้าน
แต่การเข้าใจการทำงานของเว็บไซต์, วิธีการทำงานของ Google และแม้แต่วิธีการทำงานของ AL : LLM (Large Language Models) จะช่วยให้คุณจัดลำดับความสำคัญของงาน SEO ได้
โค้ดเป็นภาษาของ Google การอ่านโค้ดออกจะช่วยได้มากเวลา ย้ายเว็บไซต์, เปิดตัวเว็บไซต์ใหม่ หรือหาสาเหตุที่ Traffic ตก
บทความที่น่าสนใจ
รับทำ SEO: ดันเว็บไซต์ธุรกิจคุณ (ไม่ต้องเสียเวลาเอง!)
รับทำเว็บไซต์ WordPress ราคาถูก SEO:ครบวงจร โดยมืออาชีพ
TimeSheet 2025:การจัดการเวลาทำงานอย่างมืออาชีพ
โปรแกรมคำนวณ ot ฟรี
รับปรับ Page speed ความเร็วเว็บไซต์
เคล็ดลับที่ 5: เรียนรู้ประเภทข้อมูลต่างๆ ที่ Google แสดงในผลการค้นหา
วิธีที่ Google แสดงผลการค้นหาในปัจจุบันแตกต่างจาก 10 หรือ 15 ปีที่แล้วมาก
ความหลากหลายของผลการค้นหา
คนที่อยู่ในวงการนี้มานาน จะได้เปรียบตรงที่ได้ปรับตัวมาเรื่อยๆ ตามการเปลี่ยนแปลงของ Google
แต่คนที่เพิ่งเข้ามา จะต้องเจอทุกอย่างพร้อมกัน ทั้ง Featured Snippets, Knowledge Panels, รูปภาพ, วิดีโอ และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งบางครั้งก็แสดงผลไม่เหมือนกัน
Google พยายามทำความเข้าใจว่าคนค้นหาอะไร และแสดงผลลัพธ์ให้ตรงกับสิ่งที่คนต้องการมากที่สุด
ดังนั้น ผลการค้นหาอาจมี:
- วิดีโอ
- รูปภาพ
- “ผู้คนยังค้นหา” (People Also Ask)
- การค้นหาที่เกี่ยวข้อง
- ภาพรวม AI
- การค้นหาที่จัดระเบียบด้วย AI
- ผลลัพธ์จากแผนที่
- ตัวเลือกการช็อปปิ้งในบริเวณใกล้เคียง
- รายการสินค้า
- ผู้คนยังซื้อจาก
- ข่าว
การทำให้เว็บไซต์ติดอันดับในแต่ละส่วนเหล่านี้ ต้องใช้วิธีที่แตกต่างกัน
เคล็ดลับที่ 6: เรียนรู้ประเภทต่างๆ ของการค้นหา (Query Intent)
เป้าหมายของ Google คือ “จัดระเบียบข้อมูลของโลกและทำให้เข้าถึงได้และเป็นประโยชน์”
ดังนั้น Google จึงพยายามทำความเข้าใจว่า ทำไม คนถึงค้นหาสิ่งนั้น และแสดงผลลัพธ์ที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด
การแบ่งประเภทของ Google
Google แบ่งประเภทการค้นหาตาม (Intent)
ในเอกสาร Search Quality Evaluator Guidelines (คู่มือที่ Google ให้คนประเมินคุณภาพเว็บไซต์และผลการค้นหา) ก็มีการพูดถึงเรื่องนี้:
- Know query: ต้องการรู้ข้อมูล (บางครั้งเป็น Know Simple คือคำถามง่ายๆ)
- Do query: ต้องการทำอะไรบางอย่าง
- Website query: ต้องการหาเว็บไซต์ หรือหน้าเว็บที่เฉพาะเจาะจง
- Visit-in-person query: ต้องการหาร้านค้า หรือสถานที่จริง (บางครั้งก็เจาะจงร้าน, บางครั้งก็หาประเภทของร้าน)
การแบ่งประเภทที่นัก SEO นิยมใช้
เวลาทำ Keyword Research ให้ลองวิเคราะห์เว็บไซต์ของคุณ และคำที่ต้องการทำอันดับ โดยใช้หลักการเหล่านี้
คนทำ SEO หลายคนก็ใช้การแบ่งประเภทแบบนี้ (ถึงแม้จะไม่ตรงกับของ Google เป๊ะๆ):
- Informational: ใคร, อะไร, ที่ไหน, เมื่อไหร่, อย่างไร, ทำไม
- Commercial: เปรียบเทียบ, รีวิว, ดีที่สุด, สินค้าเฉพาะ
- Transactional: ซื้อ, ถูก, ลดราคา, สมัคร
- Navigational: ค้นหาแบรนด์ที่เฉพาะเจาะจง
แทนที่จะดูแค่คีย์เวิร์ด ให้ลองคิดถึงเจตนา (Intent) ที่อยู่เบื้องหลังการค้นหา การเข้าใจ Intent เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับ SEO
เคล็ดลับที่ 7: ทำวิจัยด้วยตัวเองก่อนใช้ AI (LLMs)
บริษัทของคุณอาจมีกฎเกณฑ์ในการใช้ AI (เช่น ChatGPT, Claude) สำหรับงาน SEO เช่น การทำ Keyword Research, การสร้างเนื้อหา หรือการวิเคราะห์คู่แข่ง
ข้อเสียของการพึ่งพา AI เร็วเกินไป
แต่ถ้าคุณเพิ่งเริ่มต้นในวงการ SEO ผมแนะนำให้ทำโปรเจกต์ใหม่แบบลงมือเต็มที่ อย่างน้อยหนึ่งโปรเจกต์ โดยใช้เครื่องมือ เช่น Google Search Console, Semrush หรือ Ahrefs โดยไม่ใช้ AI
ถึงแม้ AI จะช่วยให้ทำงานเร็วขึ้น แต่การพึ่งพา AI เร็วเกินไปก็มีข้อเสีย:
- เรียนรู้ช้าลง: ถ้าให้ AI ทำงานหนักๆ แทน คุณจะพลาดประสบการณ์ในการตัดสินใจเลือก เช่น เลือกระหว่างคีย์เวิร์ดที่มี Volume น้อย แต่การแข่งขันปานกลาง กับคีย์เวิร์ดที่มี Volume มาก แต่การแข่งขันสูง
- ไม่รู้ว่าอะไรถูกหรือผิด: ถ้าไม่มีประสบการณ์ในการทำ Research เอง คุณจะไม่รู้ว่า AI ให้ข้อมูลที่ผิด หรือเอาข้อมูลมาจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ
- ผลลัพธ์ไม่ดี: Google ฉลาดขึ้นเรื่อยๆ ในการตรวจจับ “เนื้อหาซ้ำๆ” การใช้ AI สร้างเนื้อหาจำนวนมาก อาจทำให้ผลลัพธ์แย่ลง การทำ SEO แบบเน้นๆ อาจให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า
สรุป: สร้างรากฐานที่แข็งแกร่งเพื่อความสำเร็จในเส้นทาง SEO
SEO มีโอกาสมากมาย เมื่อคุณเข้าใจพื้นฐานแล้ว ถ้าคุณเพิ่งเริ่มต้น ให้เน้นที่สิ่งเหล่านี้:
- ธุรกิจ
- ผลการค้นหา
- เจตนาของผู้ใช้ (User Intent)
ทำให้ง่ายเข้าไว้ มุ่งเน้น. เป็นผู้นำทางธุรกิจ
สร้างความเชี่ยวชาญด้าน SEO ของคุณบนรากฐานที่ดี แล้วทักษะของคุณจะพัฒนามากขึ้น
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
- SEO ใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะเห็นผล?
- SEO เป็นการลงทุนระยะยาว ไม่ได้เห็นผลทันที อาจต้องใช้เวลาหลายเดือน หรือเป็นปี ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น การแข่งขัน, ความยากของคีย์เวิร์ด, และคุณภาพของเว็บไซต์
- จำเป็นต้องเรียนเขียนโค้ดไหม ถึงจะทำ SEO ได้?
- ไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ดเก่ง แต่การมีความรู้พื้นฐานจะช่วยให้เข้าใจการทำงานของเว็บไซต์ และคุยกับ Developer ได้รู้เรื่อง
- มีเครื่องมือ SEO ฟรีแนะนำไหม?
- มีเครื่องมือฟรีหลายตัว เช่น Google Search Console, Google Analytics, Ubersuggest (เวอร์ชันฟรี)
- Backlinks ยังสำคัญอยู่ไหม?
- Backlinks ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับ แต่ต้องเป็น Backlinks ที่มีคุณภาพ มาจากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ และเกี่ยวข้องกับเนื้อหา
- จะเรียนรู้ SEO เพิ่มเติมได้จากที่ไหน?
- มีแหล่งข้อมูลมากมาย ทั้งคอร์สออนไลน์, บล็อก, วิดีโอ, และหนังสือ ลองค้นหา “เรียน SEO” หรือ “SEO course”
บทความแปล (งงๆ เช่นเดิม) ขอบคุณที่มา
searchengineland.com/tips-seo-newbies-452908