10 วิธีเด็ด! เพิ่มอัตราการสั่งซื้อบนเว็บไซต์ของคุณในปี 2024
คุณรู้หรือไม่ว่าอัตราการสั่งซื้อ (Conversion Rate) บนเว็บไซต์โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2% ซึ่งหมายความว่าจากผู้เข้าชมเว็บไซต์ 100 คน คุณจะมีโอกาสได้ลูกค้าเพียง 2 คนเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วถือว่าเป็นอัตราที่ดีเลยนะ! เพราะเว็บไซต์ส่วนใหญ่จะมีอัตราการสั่งซื้ออยู่ที่ 0.1 – 0.2%เท่านั้น แปลว่าต้องใช้เว็บไซต์ 1,000 คนถึงจะได้ลูกค้า 1 คน
วันนี้เราจะมาดู 10 วิธีง่ายๆ ที่จะช่วยเพิ่มอัตราการสั่งซื้อบนเว็บไซต์ของคุณตั้งแต่วันนี้
เทคนิคเด็ด! การสั่งซื้อหรือเพิ่มยอดขายบนเว็บไซต์
1. เพิ่ม Pop-up
ตามผลสำรวจจาก Sumo Pop-up บนเว็บไซต์มีอัตราการสั่งซื้อเฉลี่ยอยู่ที่ 3.09% แต่ผลการวิจัยยังชี้ว่า Pop-up ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดมีอัตราการสั่งซื้อเฉลี่ยถึง 9.28% เลยทีเดียว
เคล็ดลับของ Pop-up ที่ยอดเยี่ยมคือ
- มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับหน้าเว็บ
- ไม่เด้งขึ้นมาทันที ควรตั้งเวลาดีเลย์สัก 15-30 วินาที
- มีหัวข้อที่ชัดเจนและดึงดูดความสนใจ
- เสนอสิ่งที่มีค่าจริงๆ ให้กับผู้เข้าชมเว็บไซต์
- มีปุ่ม Call to Action (CTA) ที่ตรงกับข้อเสนอ
- สามารถปิดได้ง่าย และมีระบบคุกกี้เว็บไซต์ (Website Cookie) เพื่อจดจำผู้เข้าชม ไม่ให้เห็น Pop-up เดิมซ้ำ
2. ใส่ Social Proof (เครื่องมือสร้างความน่าเชื่อถือ)
ไม่มีใครอยากเป็นหนูทดลอง ดังนั้นการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า潜在ลูกค้า (Latent Customer) หรือลูกค้าที่สนใจแต่ยังไม่ตัดสินใจซื้อ โดยการเพิ่มเครื่องมือสร้างความน่าเชื่อถือ (Social Proof) เช่น บทวิจารณ์ (Testimonials) รีวิว (Reviews) และโลโก้ของลูกค้าเก่าบนเว็บไซต์
สำหรับหน้าแรก (Home Page) หรือ Landing Page คุณสามารถเพิ่มโลโก้ของบริษัทที่น่าเชื่อถือ เพื่อสร้างความไว้วางใจให้กับผู้เข้าชมได้
3. ลดช่องฟอร์ม (Form) ที่ไม่จำเป็น
จำนวนช่องฟอร์มที่มากเกินไปเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ อัตราการสั่งซื้อลดลง
ควรออกแบบฟอร์มให้สั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้ กรอกเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นเท่านั้น
4. ตัดสิ่งรบกวนออกจากเว็บไซต์
เว็บไซต์ที่รก ไม่ชัดเจน ไม่มี Call to Action (CTA) ที่เด่นชัด เป็นข้อผิดพลาดที่พบได้บ่อย
Landing Page ควรจะเรียบง่าย ดูสบายตา และง่ายต่อการใช้งาน
ควรมีแค่
- หัวข้อหลักและหัวข้อย่อยที่ชัดเจน
- รายละเอียดสินค้า/บริการที่น่าสนใจ
- เครื่องมือสร้างความน่าเชื่อถือ (Social Proof)
- ภาพประกอบที่ดึงดูดใจและสื่อถึงข้อเสนอ
ในบางกรณี การเพิ่มช่องทางแชทสด (Live Chat) หรือ วิดีโอ อาจจะมีประโยชน์ แต่ก็เพื่อสนับสนุนข้อเสนอหลัก ไม่ควรรบกวนผู้เข้าชมเว็บไซต์จนเบี่ยงเบนไปจากจุดประสงค์หลักของหน้าเว็บ
5. ปรับปรุงข้อความ Call to Action (CTA)
ปุ่ม Call to Action (CTA) แบบเดิมๆ เช่น “สมัครสมาชิก” หรือ “ทดลองใช้ฟรี” ไม่อาจการันตีผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ลองใช้เวลาสักครู่ปรับปรุงข้อความ เช่น “ใช่! ฉันต้องการ [ข้อเสนอของคุณ]”
6. ลองข้อเสนอหรือการรับประกันแบบอื่น
อย่ามัวแต่ปรับแต่ง Landing Page จนลืมนึกถึง “ข้อเสนอ” ที่ดึงดูดใจลูกค้า
ลองพิจารณาปัจจัยเหล่านี้:
- กลุ่มเป้าหมายของคุณคือใคร?
- พวกเขาต้องการอะไร?
- พวกเขามีปัญหาอะไร?
- ข้อเสนอของคุณสามารถแก้ปัญหาเหล่านั้นได้อย่างไร?
เมื่อคุณเข้าใจความต้องการของลูกค้าแล้ว คุณก็สามารถออกแบบข้อเสนอที่ตรงใจพวกเขาได้
ตัวอย่างเช่น:
- เสนอส่วนลดพิเศษ
- เสนอการรับประกันเงินคืน
- เสนอของแถมฟรี
- เสนอตัวอย่างสินค้าฟรี
- เสนอบริการทดลองใช้ฟรี
7. เพิ่ม Live Chat
ลูกค้าส่วนใหญ่ที่เข้าชมเว็บไซต์ของคุณอาจกำลังตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการของคุณ
การเพิ่มช่องทาง Live Chat บนเว็บไซต์ จะช่วยให้พวกเขาสามารถถามคำถามและรับคำตอบได้ทันที
ซึ่งอาจเพียงพอที่จะโน้มน้าวให้พวกเขาตัดสินใจซื้อ
8. เพิ่มตัวเลือกการสมัครสมาชิกแบบ Third-party
แทนที่จะให้ลูกค้ากรอกข้อมูลลงในฟอร์มสมัครสมาชิกบนเว็บไซต์ของคุณ
ลองใช้ตัวเลือกการสมัครสมาชิกแบบ Third-party เช่น Google, Facebook หรือ Twitter
วิธีนี้ช่วยให้ลูกค้าสามารถสมัครสมาชิกได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น
9. เพิ่มตัวจับเวลา
โดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์มักรู้สึกเร่งรีบเมื่อเวลาจำกัด
คุณสามารถใช้กลยุทธ์นี้โดยการเพิ่มตัวจับเวลาลงบน Landing Page
ซึ่งจะแสดงให้ลูกค้าเห็นว่าเหลือเวลาอีกเท่าไหร่ที่จะได้รับข้อเสนอพิเศษ
กลยุทธ์นี้สามารถกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้เร็วขึ้น
10. ทดสอบ A/B Landing Page และ Headline
อย่าหยุดนิ่ง! จงทดสอบ A/B กับ Landing Page และ Headline ของคุณอยู่เสมอ
ลองเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบต่างๆ เช่น รูปภาพ ข้อความ ปุ่ม Call to Action (CTA) ฯลฯ
เพื่อดูว่าอะไรมีประสิทธิภาพมากที่สุด
ขยายความเกี่ยวกับข้อดีของแต่ละวิธี และตอบคำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับการเพิ่มอัตราการสั่งซื้อบนเว็บไซต์
1. เพิ่ม Pop-up
ข้อดี:
- ดึงดูดความสนใจของผู้เข้าชมเว็บไซต์
- นำเสนอข้อเสนอพิเศษหรือส่วนลด
- กระตุ้นให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์ดำเนินการ เช่น สมัครสมาชิกหรือซื้อสินค้า
2. ใส่ Social Proof (เครื่องมือสร้างความน่าเชื่อถือ)
ข้อดี:
- สร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์และธุรกิจของคุณ
- กระตุ้นให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์ตัดสินใจซื้อ
- เสริมสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ของคุณ
3. ลดช่องฟอร์ม (Form) ที่ไม่จำเป็น
ข้อดี:
- ช่วยให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์กรอกข้อมูลได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น
- เพิ่มโอกาสที่ผู้เข้าชมเว็บไซต์จะส่งข้อมูล
- ลดความยุ่งยากและความรำคาญใจให้กับผู้เข้าชมเว็บไซต์
4. ตัดสิ่งรบกวนออกจากเว็บไซต์
ข้อดี:
- ช่วยให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์โฟกัสกับเนื้อหาหลักของหน้าเว็บ
- เพิ่มประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับผู้เข้าชมเว็บไซต์
- ทำให้เว็บไซต์ของคุณดูสวยงามและเป็นมืออาชีพ
5. ปรับปรุงข้อความ Call to Action (CTA)
ข้อดี:
- กระตุ้นให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์ดำเนินการ เช่น สมัครสมาชิกหรือซื้อสินค้า
- ดึงดูดความสนใจของผู้เข้าชมเว็บไซต์
- สื่อสารข้อความที่ชัดเจนและตรงประเด็น
6. ลองข้อเสนอหรือการรับประกันแบบอื่น
ข้อดี:
- ดึงดูดลูกค้าใหม่
- กระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ
- เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจของคุณ
7. เพิ่ม Live Chat
ข้อดี:
- ตอบคำถามของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว
- เพิ่มโอกาสในการขาย
- ปรับปรุงการบริการลูกค้า
8. เพิ่มตัวเลือกการสมัครสมาชิกแบบ Third-party
ข้อดี:
- ช่วยให้ลูกค้าสมัครสมาชิกได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น
- เพิ่มจำนวนสมาชิก
- รวบรวมข้อมูลลูกค้าได้ง่ายขึ้น
9. เพิ่มตัวจับเวลา
ข้อดี:
- สร้างความเร่งด่วน
- กระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ
- เพิ่มยอดขาย
10. ทดสอบ A/B Landing Page และ Headline
ข้อดี:
- ค้นหาสิ่งที่ได้ผลดีที่สุดสำหรับเว็บไซต์ของคุณ
- เพิ่มอัตราการสั่งซื้อ
- ปรับปรุงประสบการณ์การใช้งาน
FAQ
Q: อะไรคืออัตราการสั่งซื้อบนเว็บไซต์เฉลี่ย?
A: อัตราการสั่งซื้อบนเว็บไซต์เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2%
Q: ฉันจะทราบได้อย่างไรว่ากลยุทธ์ใดมีประสิทธิภาพ?
A: คุณสามารถใช้เครื่องมือวิเคราะห์เว็บไซต์ เช่น Google Analytics เพื่อติดตามอัตราการสั่งซื้อของคุณ
Q: ฉันควรใช้กลยุทธ์เหล่านี้ทั้งหมดหรือไม่?
A: ไม่จำเป็น คุณสามารถเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะกับธุรกิจของคุณ
Q: ฉันควรเริ่มต้นอย่างไร?
A: ขั้นแรก คุณต้องวิเคราะห์เว็บไซต์ของคุณและระบุจุดอ่อน
จากนั้น คุณสามารถเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะกับธุรกิจของคุณ
Q: ฉันควรใช้เครื่องมืออะไรบ้าง?
A: มีเครื่องมือมากมายที่สามารถช่วยคุณเพิ่มอัตราการสั่งซื้อบนเว็บไซต์ของคุณ
เครื่องมือยอดนิยมบางส่วน ได้แก่:
- Google Analytics
- Hotjar
- Sumo
- Crazy Egg
Q: ฉันควรจ้างผู้เชี่ยวชาญหรือไม่?
A: หากคุณไม่มีเวลาหรือความรู้ในการเพิ่มอัตราการสั่งซื้อบนเว็บไซต์ของคุณด้วยตัวเอง
คุณสามารถจ้างผู้เชี่ยวชาญได้
ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้สามารถช่วยคุณวิเคราะห์เว็บไซต์ของคุณ พัฒนากลยุทธ์ และติดตามผลลัพธ์
Q: ฉันควรคาดหวังผลลัพธ์อะไร?
A: ผลลัพธ์จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับธุรกิจของคุณ กลยุทธ์ที่คุณใช้ และปัจจัยอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้ว คุณสามารถคาดหวังที่จะเห็นการเพิ่มขึ้นของอัตราการสั่งซื้อของคุณ
แหล่งข้อมูล
สรุป
การเพิ่มอัตราการสั่งซื้อบนเว็บไซต์ของคุณเป็นวิธีที่ดีในการเพิ่มยอดขายและผลกำไร
โดยใช้กลยุทธ์ในบทความนี้ คุณสามารถเริ่มต้นดึงดูดลูกค้าใหม่และเพิ่มรายได้ของคุณได้
เคล็ดลับเพิ่มเติม:
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณใช้งานง่ายและรวดเร็ว
- เสนอการจัดส่งฟรีและนโยบายการคืนสินค้าที่ง่าย
- สร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพสูง
- โปรโมทเว็บไซต์ของคุณบนโซเชียลมีเดียและช่องทางออนไลน์อื่นๆ
- ติดตามผลลัพธ์ของคุณและปรับกลยุทธ์ของคุณตามความจำเป็น
ด้วยความพยายามและความทุ่มเท คุณสามารถเพิ่มอัตราการสั่งซื้อบนเว็บไซต์ของคุณและบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจของคุณ