การใช้ AI ร่วมกับ Automation ให้งานง่ายขึ้น
สวัสดีครับทุกคน! วันนี้เราจะมาคุยกันเรื่องที่กำลังมาแรงมากๆ ในยุคนี้ นั่นก็คือการใช้ AI (Artificial Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ ควบคู่ไปกับ Automation หรือระบบอัตโนมัติ ในการทำงานของเราให้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ใครที่ยังไม่คุ้นเคยกับสองคำนี้ ไม่ต้องห่วงครับ เดี๋ยวเราจะมาทำความเข้าใจกันไปพร้อมๆ กัน
ทำไม AI และ Automation ถึงเป็นคู่หูสุดปัง?
อะไรคือ AI และ Automation กันแน่?
ก่อนที่เราจะไปถึงไหนต่อไหน เรามาทำความรู้จักกับสองคำนี้กันก่อนดีกว่าเนอะ AI หรือปัญญาประดิษฐ์เนี่ย พูดง่ายๆ ก็คือการที่เราสร้างให้คอมพิวเตอร์มีความสามารถในการคิด วิเคราะห์ เรียนรู้ และตัดสินใจได้เหมือนคนเรา ไม่ว่าจะเป็นการจำแนกรูปภาพ การแปลภาษา หรือการตอบคำถามต่างๆ ส่วน Automation หรือระบบอัตโนมัติ ก็คือการที่เราใช้เทคโนโลยีมาช่วยทำงานแทนเรา ทำให้งานที่เคยต้องทำซ้ำๆ หรือใช้เวลานาน ทำได้เองแบบอัตโนมัติ ไม่ต้องมีคนมานั่งทำเองแล้ว เช่น การส่งอีเมล การตั้งเวลาโพสต์โซเชียลมีเดีย
ทำไมต้องเอาสองอย่างนี้มารวมกัน?
ทีนี้ ลองคิดภาพตามนะครับ ถ้าเราเอา AI มาผสมกับ Automation จะเกิดอะไรขึ้น? ก็เหมือนเรามีผู้ช่วยที่ทั้งฉลาดและขยันทำงานไงล่ะครับ! AI จะช่วยวิเคราะห์ข้อมูล ตัดสินใจ และวางแผน ส่วน Automation ก็จะลงมือทำตามแผนนั้นอย่างรวดเร็วและแม่นยำ ทำให้เราไม่ต้องเสียเวลาไปกับงานที่น่าเบื่อ หรืองานที่ต้องทำซ้ำๆ อีกต่อไป เราสามารถเอาเวลาไปทำอย่างอื่นที่สร้างสรรค์และสำคัญกว่าได้เยอะเลย!
AI + Automation: ประโยชน์ที่เห็นชัดเจน
การรวมพลังของ AI และ Automation เนี่ย มันไม่ใช่แค่ทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้นนะครับ แต่มันยังมีประโยชน์อีกเยอะแยะเลย มาดูกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง
ลดภาระงานที่น่าเบื่อและซ้ำซาก
เชื่อว่าทุกคนต้องเคยเจอ งานที่ต้องทำซ้ำๆ ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นการคัดลอกข้อมูล การกรอกตัวเลข หรือการตอบอีเมลคำถามเดิมๆ งานเหล่านี้เป็นงานที่น่าเบื่อ เสียเวลา แถมยังทำให้เราหมดไฟในการทำงานอีกด้วย แต่ถ้าเราใช้ AI และ Automation เข้ามาช่วย งานพวกนี้ก็จะกลายเป็นเรื่องจิ๊บๆ ทันทีเลยครับ
เพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการทำงาน
AI และ Automation สามารถทำงานได้เร็วกว่าคนเราเยอะมาก บางงานที่เราต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง หรือหลายวัน อาจจะใช้เวลาแค่ไม่กี่นาทีหรือวินาทีเท่านั้น นอกจากนี้ ระบบยังสามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ต้องมีพักเบรก ทำให้งานเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง
ลดข้อผิดพลาดและเพิ่มความแม่นยำ
เวลาที่เราทำงานนานๆ หรือทำงานซ้ำๆ ก็อาจจะเกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย แต่ AI และ Automation จะทำงานตามคำสั่งอย่างแม่นยำ ลดโอกาสที่จะเกิดข้อผิดพลาด ทำให้ข้อมูลที่เราใช้มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น
สร้างสรรค์งานได้มากขึ้น
เมื่อเราไม่ต้องเสียเวลากับงานที่น่าเบื่อและซ้ำซากแล้ว เราก็จะมีเวลาไปคิดสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ๆ หรือพัฒนาตัวเองมากขึ้น ลองคิดดูสิครับว่าถ้าเรามีผู้ช่วยที่ทั้งฉลาดและขยัน เราจะทำอะไรได้อีกเยอะแยะเลย!
AI ช่วยในการตัดสินใจ
AI ไม่ได้แค่ทำงานตามคำสั่งเท่านั้นนะครับ แต่ยังสามารถวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลได้อย่างรวดเร็ว แล้วนำมาช่วยเราในการตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ เช่น การวิเคราะห์แนวโน้มตลาด การคาดการณ์ยอดขาย หรือการเลือกกลยุทธ์ทางการตลาด
Automation ทำงานซ้ำๆ แทนเรา
ส่วน Automation ก็จะช่วยทำงานซ้ำๆ แทนเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การส่งอีเมล การจัดการข้อมูล การอัปเดตเว็บไซต์ ทำให้เรามีเวลาไปทำงานที่สำคัญกว่า หรือพักผ่อนให้เพียงพอ
ตัวอย่างการใช้ AI ร่วมกับ Automation ในชีวิตจริง
ทีนี้ มาดูตัวอย่างกันบ้างว่า เราสามารถเอา AI และ Automation ไปใช้ในงานอะไรได้บ้าง
ในงานด้านการตลาด
ลองนึกภาพตามนะครับ AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าจากแหล่งต่างๆ เพื่อให้เราเข้าใจลูกค้ามากขึ้น เช่น ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร หรือสนใจอะไร แล้ว Automation ก็จะช่วยส่งข้อความ หรือโปรโมชั่นที่ตรงใจลูกค้าแต่ละคนแบบอัตโนมัติ ทำให้เราเข้าถึงลูกค้าได้ตรงจุด และเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น
ในงานด้านบริการลูกค้า
ถ้าคุณเคยคุยกับ Chatbot ตามเว็บไซต์ต่างๆ นั่นแหละครับ คือตัวอย่างของการใช้ AI และ Automation ในงานบริการลูกค้า Chatbot สามารถตอบคำถามพื้นฐานได้ทันที ไม่ต้องรอพนักงานมาตอบ ช่วยลดภาระของพนักงาน และทำให้ลูกค้าได้รับบริการที่รวดเร็วขึ้น
ในงานด้านการจัดการเอกสาร
การจัดการเอกสารเป็นงานที่น่าเบื่อและเสียเวลามาก แต่ AI และ Automation สามารถช่วยเราได้เยอะครับ เช่น การสแกนเอกสาร การแยกประเภทเอกสาร การดึงข้อมูลจากเอกสาร หรือการจัดเก็บเอกสารในระบบ ทำให้การทำงานเอกสารเป็นเรื่องง่ายขึ้นเยอะ
ในงานด้านการผลิต
ในโรงงานผลิต AI สามารถช่วยตรวจสอบคุณภาพสินค้าได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ส่วน Automation ก็จะช่วยควบคุมการทำงานของเครื่องจักร ทำให้การผลิตมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดต้นทุน และลดของเสีย
ข้อควรระวังเมื่อใช้ AI และ Automation
ถึงแม้ว่า AI และ Automation จะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีข้อควรระวังที่เราต้องให้ความสำคัญด้วยเช่นกัน
ความปลอดภัยของข้อมูล
การใช้ AI และ Automation อาจจะต้องมีการเก็บข้อมูลส่วนตัว หรือข้อมูลทางธุรกิจ ดังนั้นเราต้องเลือกใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีที่มีความปลอดภัย และมีมาตรการป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลที่ดี
การรักษาความเป็นส่วนตัว
เราต้องใส่ใจเรื่องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน และต้องมีการขออนุญาตในการเก็บและใช้ข้อมูลอย่างถูกต้อง ไม่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
การเรียนรู้และปรับตัวของระบบ
ระบบ AI และ Automation ต้องการการเรียนรู้และปรับตัวอย่างต่อเนื่อง เราต้องตรวจสอบและปรับปรุงระบบให้เหมาะสมกับการใช้งานอยู่เสมอ
เริ่มต้นใช้ AI และ Automation ยังไงดี?
อยากจะลองใช้ AI และ Automation บ้างแล้วใช่ไหมครับ? มาดูกันว่าเราจะเริ่มต้นยังไงดี
สำรวจความต้องการและปัญหาของคุณ
อันดับแรก เราต้องรู้ก่อนว่าเราต้องการอะไร และเรามีปัญหาอะไรที่ต้องการแก้ไข การสำรวจความต้องการและปัญหาของเรา จะช่วยให้เราเลือกใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสม
เลือกเครื่องมือและเทคโนโลยีที่เหมาะสม
เมื่อเรารู้ความต้องการของเราแล้ว เราก็มาเลือกเครื่องมือและเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับความต้องการของเรา มีเครื่องมือและเทคโนโลยีให้เลือกใช้มากมาย ลองศึกษาข้อมูล เปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย แล้วเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับเราที่สุด
ทดลองใช้และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
เมื่อเราได้เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ต้องการแล้ว เราก็ลองเอามาใช้ แล้วดูว่ามันใช้งานได้จริงไหม มีปัญหาอะไรที่เราต้องปรับปรุงไหม การทดลองใช้และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้เราใช้ AI และ Automation ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
อนาคตของการทำงานด้วย AI และ Automation
ผมเชื่อว่าในอนาคต AI และ Automation จะเข้ามามีบทบาทในการทำงานของเรามากขึ้นอย่างแน่นอน งานที่เราเคยทำด้วยมือ อาจจะถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ แต่ก็จะมีงานใหม่ๆ เกิดขึ้นที่ต้องใช้ทักษะและความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์มากขึ้น เราต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น และเรียนรู้ที่จะใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ต่อการทำงานของเรา
สรุปและคำถามที่พบบ่อย (FAQ)
เป็นยังไงบ้างครับ กับเรื่องราวของ AI และ Automation หวังว่าทุกคนคงจะได้ไอเดียไปปรับใช้ในการทำงานของตัวเองนะครับ สรุปง่ายๆ เลยคือ AI และ Automation เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้เราทำงานได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีเวลาไปทำอย่างอื่นที่สำคัญกว่าได้มากขึ้นครับ ทีนี้ มาดูคำถามที่พบบ่อยกันบ้าง
คำถามที่ 1: AI และ Automation จะมาแย่งงานของเราไหม?
คำตอบ: จริงๆ แล้ว AI และ Automation จะเข้ามาช่วยเราทำงาน ไม่ได้มาแย่งงานของเราทั้งหมดครับ งานบางอย่างที่ต้องใช้ทักษะของมนุษย์ เช่น ความคิดสร้างสรรค์ การตัดสินใจ หรือการสื่อสาร จะยังคงเป็นที่ต้องการอยู่ เพียงแต่เราอาจจะต้องเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เพื่อทำงานร่วมกับเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
คำถามที่ 2: ต้องมีพื้นฐานด้านเทคนิคมากแค่ไหนถึงจะใช้ AI และ Automation ได้?
คำตอบ: ไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานด้านเทคนิคมากขนาดนั้นครับ ปัจจุบันมีเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ใช้งานง่ายมากมาย ที่ออกแบบมาให้คนที่ไม่ใช่โปรแกรมเมอร์ก็สามารถใช้งานได้
คำถามที่ 3: เริ่มต้นใช้ AI และ Automation ควรเริ่มจากตรงไหน?
คำตอบ: ควรเริ่มต้นจากงานที่เราทำซ้ำๆ เป็นประจำ หรือเป็นงานที่เสียเวลามากที่สุด แล้วลองหาเครื่องมือและเทคโนโลยีที่สามารถเข้ามาช่วยเราในงานนั้นได้
คำถามที่ 4: มีค่าใช้จ่ายในการใช้ AI และ Automation มากไหม?
คำตอบ: มีทั้งเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ฟรี และมีแบบที่ต้องเสียเงิน ขึ้นอยู่กับความต้องการของเรา ถ้าเราเริ่มต้นจากเครื่องมือฟรี เราก็สามารถลองใช้และทำความเข้าใจได้ง่ายๆ ก่อน
คำถามที่ 5: AI และ Automation จะพัฒนาไปในทิศทางไหนอีก?
คำตอบ: AI และ Automation จะพัฒนาไปอย่างรวดเร็วแน่นอนครับ เราจะได้เห็นเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ฉลาดและมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ การติดตามข่าวสารและเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้เราไม่ตกยุคและสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีได้อย่างเต็มที่ครับ

แนะนำโปรแกรม AI และ Automation
โปรแกรมสำหรับงานด้านการตลาดและการขาย
- HubSpot: เป็นแพลตฟอร์ม CRM (Customer Relationship Management) ที่รวมเครื่องมือทางการตลาด การขาย และบริการลูกค้าเข้าไว้ด้วยกัน HubSpot ใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า เพื่อให้เราเข้าใจลูกค้ามากขึ้น และใช้ Automation ในการส่งอีเมล การจัดการข้อมูลลูกค้า และการติดตามผลทางการตลาด ทำให้เราสามารถสร้างแคมเปญการตลาดที่ตรงใจลูกค้าได้มากขึ้น และประหยัดเวลาได้เยอะเลย
- Marketo: คล้ายกับ HubSpot แต่เน้นไปที่การตลาดแบบอัตโนมัติ (Marketing Automation) Marketo ใช้ AI ในการวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า และใช้ Automation ในการสร้างแคมเปญการตลาดที่ซับซ้อน เช่น การส่งอีเมลแบบ Personalized หรือการให้คะแนนความสนใจของลูกค้า (Lead Scoring) ทำให้ทีมการตลาดสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- Mailchimp: เป็นแพลตฟอร์มสำหรับการทำการตลาดผ่านอีเมล (Email Marketing) Mailchimp ใช้ AI ในการแนะนำเวลาที่เหมาะสมในการส่งอีเมล และใช้ Automation ในการส่งอีเมลแบบอัตโนมัติ เช่น อีเมลต้อนรับลูกค้าใหม่ หรืออีเมลแจ้งเตือนเมื่อลูกค้าทิ้งสินค้าในตะกร้า ทำให้เราสามารถสื่อสารกับลูกค้าได้ตรงจุดและต่อเนื่อง
โปรแกรมสำหรับงานด้านบริการลูกค้า
- Zendesk: เป็นแพลตฟอร์มสำหรับบริการลูกค้า (Customer Service) ที่ได้รับความนิยม Zendesk ใช้ AI ในการช่วยจัดการกับคำถามของลูกค้า เช่น การจัดประเภทคำถาม การแนะนำคำตอบ หรือการส่งต่อคำถามไปยังพนักงานที่เหมาะสม และใช้ Automation ในการส่งอีเมลตอบกลับอัตโนมัติ หรือการแจ้งเตือนเมื่อมีคำถามใหม่ ทำให้ทีมบริการลูกค้าสามารถตอบคำถามของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
- Intercom: เป็นแพลตฟอร์มสำหรับการสื่อสารกับลูกค้า (Customer Communication) Intercom ใช้ AI ในการช่วยแนะนำบทความที่เกี่ยวข้องกับคำถามของลูกค้า และใช้ Automation ในการส่งข้อความต้อนรับลูกค้าใหม่ หรือการแจ้งเตือนเมื่อลูกค้าไม่ได้ใช้งานแอปพลิเคชันเป็นเวลานาน ทำให้เราสามารถสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างทันท่วงที และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าได้
โปรแกรมสำหรับงานด้านการจัดการทั่วไป
- Zapier: เป็นเครื่องมือที่ช่วยเชื่อมต่อแอปพลิเคชันต่างๆ เข้าด้วยกัน โดยใช้ Automation Zapier สามารถเชื่อมต่อแอปพลิเคชันต่างๆ เช่น Google Sheets, Gmail, Trello, Slack และอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้เราสามารถทำงานหลายอย่างได้โดยอัตโนมัติ เช่น การบันทึกข้อมูลจากแบบฟอร์มลงใน Google Sheets การส่งข้อความแจ้งเตือนเมื่อมีงานใหม่ใน Trello หรือการส่งอีเมลเมื่อมีการอัปเดตข้อมูลใน Google Sheets
- UiPath: เป็นแพลตฟอร์มสำหรับ Robotic Process Automation (RPA) หรือระบบอัตโนมัติที่ใช้หุ่นยนต์ซอฟต์แวร์ทำงานแทนคน UiPath สามารถช่วยทำงานต่างๆ ที่ต้องทำซ้ำๆ เช่น การคัดลอกข้อมูล การกรอกข้อมูล การดาวน์โหลดไฟล์ หรือการส่งอีเมล ทำให้เราไม่ต้องเสียเวลากับงานที่น่าเบื่อ และลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการทำงานของมนุษย์
- Microsoft Power Automate: เป็นเครื่องมือของ Microsoft ที่ช่วยสร้างระบบอัตโนมัติในการทำงาน สามารถเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันและบริการต่างๆ ของ Microsoft และบริการอื่นๆ ได้มากมาย เช่น การส่งอีเมลอัตโนมัติ การบันทึกไฟล์ลงใน OneDrive หรือ SharePoint และการแจ้งเตือนต่างๆ
โปรแกรมสำหรับงานด้านการสร้างคอนเทนต์
- Jasper (เดิมชื่อ Jarvis): เป็นเครื่องมือที่ใช้ AI ในการช่วยสร้างคอนเทนต์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบทความ บล็อกโพสต์ คำโฆษณา หรือเนื้อหาสำหรับโซเชียลมีเดีย Jasper สามารถช่วยเราคิดไอเดีย สร้างโครงร่าง และเขียนเนื้อหาได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เราประหยัดเวลาในการสร้างคอนเทนต์ได้เยอะเลย
- Grammarly: เป็นเครื่องมือที่ใช้ AI ในการช่วยตรวจทานไวยากรณ์และคำศัพท์ Grammarly สามารถช่วยแก้ไขข้อผิดพลาดในการเขียนภาษาอังกฤษ และแนะนำคำศัพท์และสำนวนที่เหมาะสม ทำให้เราเขียนภาษาอังกฤษได้ดีขึ้น
ข้อควรรู้: โปรแกรมเหล่านี้ส่วนใหญ่มีทั้งแบบฟรีและแบบเสียเงิน ซึ่งแบบเสียเงินมักจะมีฟีเจอร์ที่ครบครันกว่า คุณสามารถเลือกใช้โปรแกรมที่เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณของคุณได้เลยครับ
แนะนำเพิ่มเติม Make.com
make.com (เดิมชื่อ Integromat) เป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของโปรแกรมที่ใช้ AI และ Automation ร่วมกัน และจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับ Zapier ซึ่งเราได้พูดถึงไปก่อนหน้านี้ด้วย make.com เป็นแพลตฟอร์ม iPaaS (Integration Platform as a Service) ที่ทรงพลังมากๆ ครับ มันช่วยให้เราเชื่อมต่อแอปพลิเคชันและบริการต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย และสร้างระบบอัตโนมัติที่ซับซ้อนได้โดยไม่ต้องเขียนโค้ดแม้แต่บรรทัดเดียว
make.com ทำงานอย่างไร?
make.com ทำงานโดยใช้หลักการของ “Scenarios” ซึ่งเป็นเหมือน Workflow ที่เราสร้างขึ้นเพื่อกำหนดว่าเราต้องการให้แอปพลิเคชันและบริการต่างๆ ทำงานร่วมกันอย่างไร ตัวอย่างเช่น
- Trigger: เรากำหนดว่าอะไรจะเป็นตัวจุดชนวนให้ Scenario ทำงาน เช่น เมื่อมีอีเมลใหม่เข้ามา หรือเมื่อมีข้อมูลใหม่ถูกเพิ่มใน Google Sheets
- Modules: เราเลือก Module หรือแอปพลิเคชันต่างๆ ที่เราต้องการให้ทำงานร่วมกัน เช่น Gmail, Google Sheets, Slack, Trello, Facebook, Twitter และอีกมากมาย
- Operations: เรากำหนดว่าแต่ละ Module จะทำอะไร เช่น ดึงข้อมูลจากอีเมล บันทึกข้อมูลลงใน Google Sheets ส่งข้อความไปที่ Slack สร้าง Task ใหม่ใน Trello
- Mapping: เรากำหนดว่าข้อมูลจาก Module หนึ่ง จะถูกส่งไปยัง Module อื่นอย่างไร
ทำไม make.com ถึงน่าสนใจ?
- ความยืดหยุ่น: make.com มี Module ให้เลือกใช้งานเยอะมาก ครอบคลุมแอปพลิเคชันและบริการต่างๆ ที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน ทำให้เราสามารถสร้างระบบอัตโนมัติได้ตามต้องการ
- ความซับซ้อน: make.com สามารถสร้าง Scenario ที่ซับซ้อนได้ ไม่ใช่แค่การส่งข้อมูลจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งเท่านั้น เราสามารถเพิ่มเงื่อนไข การวนซ้ำ การจัดการข้อผิดพลาด และอื่นๆ อีกมากมาย
- ความง่ายในการใช้งาน: ถึงแม้จะมีความสามารถเยอะ แต่ make.com ก็มีอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย ไม่ต้องมีพื้นฐานการเขียนโค้ดก็สามารถใช้งานได้
- ความสามารถในการปรับแต่ง: make.com มีเครื่องมือในการจัดการข้อมูลมากมาย ทำให้เราสามารถปรับแต่งข้อมูลให้เหมาะสมกับการใช้งานได้
- AI-Powered: ในบางส่วนของ make.com เริ่มมีการนำ AI เข้ามาช่วย เช่น การแนะนำ Module ที่เหมาะสม การทำนายการทำงานของ Scenario
make.com แตกต่างจาก Zapier อย่างไร?
ทั้ง make.com และ Zapier เป็นแพลตฟอร์ม iPaaS ที่ดีทั้งคู่ แต่ก็มีข้อแตกต่างกันอยู่บ้างครับ
- ความซับซ้อน: make.com มักจะถูกมองว่ามีความสามารถในการสร้างระบบอัตโนมัติที่ซับซ้อนกว่า Zapier
- ราคา: make.com มักจะมีราคาที่ยืดหยุ่นกว่า Zapier โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ต้องการสร้าง Scenario ที่ซับซ้อน
- อินเทอร์เฟซ: อินเทอร์เฟซของ make.com จะมีลักษณะเป็น Visual Editor ที่ดูเป็นภาพมากกว่า ทำให้เห็นภาพรวมของ Workflow ได้ชัดเจนกว่า
- ฟีเจอร์ AI: make.com เริ่มมีการนำฟีเจอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เข้ามาใช้งานมากขึ้น
ตัวอย่างการใช้งาน make.com
- การจัดการโซเชียลมีเดีย: เมื่อมีโพสต์ใหม่ใน Instagram ให้บันทึกรูปภาพและข้อความลงใน Google Sheets และโพสต์ข้อความเดียวกันไปที่ Twitter
- การจัดการอีเมล: เมื่อมีอีเมลจากลูกค้าใหม่ ให้บันทึกข้อมูลลูกค้าลงใน CRM และส่งอีเมลต้อนรับอัตโนมัติ
- การจัดการงาน: เมื่อมี Task ใหม่ใน Asana ให้สร้าง Task ใหม่ใน Trello และแจ้งเตือนใน Slack
- การจัดการข้อมูล: เมื่อมีการอัปเดตข้อมูลใน Google Sheets ให้ส่งข้อมูลนั้นไปอัปเดตใน Airtable
- การทำรายงาน: เมื่อมีการขายสินค้าใหม่ ให้บันทึกข้อมูลการขายลงใน Google Sheets และสร้างรายงานสรุปใน Looker Studio
โปรแกรมแนวนี้อื่นๆ
นอกจาก make.com และ Zapier แล้ว ยังมีโปรแกรมแนวเดียวกันอีกหลายตัวที่น่าสนใจ เช่น
- Microsoft Power Automate: ซึ่งเราได้กล่าวถึงไปแล้ว
- Workato: เน้นการใช้งานสำหรับองค์กรขนาดใหญ่
- Tray.io: เน้นการใช้งานสำหรับนักพัฒนา
- Pabbly Connect: มีราคาที่ค่อนข้างถูกและมีฟีเจอร์ครบครัน
make.com เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังและยืดหยุ่นมาก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างระบบอัตโนมัติที่ซับซ้อน และต้องการควบคุมการทำงานของระบบด้วยตัวเอง ถ้าคุณกำลังมองหาเครื่องมือที่ช่วยให้คุณทำงานได้ง่ายขึ้น ประหยัดเวลามากขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผมขอแนะนำให้ลองศึกษาและทดลองใช้งาน make.com ดูครับ