News

23 มกราคม 2568: วันประวัติศาสตร์สมรสเท่าเทียมของไทย

วันที่ความรักทุกรูปแบบได้รับการยอมรับอย่างเท่าเทียมกัน! วันที่ 23 มกราคม 2568 ไม่ใช่แค่วันธรรมดา แต่เป็นวันที่กฎหมายสมรสเท่าเทียม หรือ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ ทำให้คู่รัก LGBTQ+ สามารถจดทะเบียนสมรสได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เหมือนกับคู่รักชายหญิงทั่วไป เฮ้! มันสุดยอดไปเลยใช่ไหมล่ะ?

เลือกอ่าน หัวข้อที่สนใจ

กฎหมายสมรสเท่าเทียม: จุดเริ่มต้นใหม่ของความรัก

การประกาศใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมอย่างเป็นทางการ

เพื่อนๆ เชื่อไหมว่าวันนี้น่ะ เป็นวันที่รอคอยกันมานานแสนนานเลยนะ การที่กฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ ทำให้ทุกคนไม่ว่าจะมีอัตลักษณ์ทางเพศแบบไหน ก็สามารถใช้สิทธิการจดทะเบียนสมรสได้อย่างเท่าเทียมกันจริงๆ สักที นี่มันไม่ใช่แค่เรื่องของคู่รัก LGBTQ+ เท่านั้นนะ แต่มันคือเรื่องของความเสมอภาคและความเท่าเทียมกันในสังคมของเราเลยนะ

อะไรจะเกิดขึ้นในวันที่ 23 มกราคม?

ในวันที่ 23 มกราคมนี้ นอกจากจะเป็นวันแห่งประวัติศาสตร์แล้ว ยังมีกิจกรรมดีๆ เกิดขึ้นเพียบเลยนะ โดยเฉพาะที่กรุงเทพมหานคร จะมีคู่รักกว่า 300 คู่ ที่พร้อมใจกันไปจดทะเบียนสมรสกันอย่างชื่นมื่น แล้วก็จะมีงานฉลองกันอย่างสนุกสนานตลอดทั้งวันไปเลยจ้า แต่ถ้าใครไม่ได้อยู่ที่กรุงเทพฯ ก็ไม่ต้องน้อยใจไปนะ เพราะว่าทุกคนสามารถเดินทางไปจดทะเบียนสมรสได้ที่ว่าการอำเภอทั่วประเทศ ทั้ง 878 อำเภอ รวมถึงสำนักงานเขต 50 เขตในกรุงเทพฯ ด้วย หรือถ้าใครอยู่ต่างประเทศ ก็สามารถไปจดทะเบียนได้ที่สถานกงสุลไทยได้เลยนะ สะดวกสบายสุดๆ ไปเลย!

เอกสารที่ต้องเตรียมในการจดทะเบียนสมรส

เอาล่ะ เตรียมตัวให้พร้อมกันเลยนะ ใครที่อยากจะไปจดทะเบียนสมรสในวันสำคัญนี้ ลองมาดูกันดีกว่าว่าต้องเตรียมอะไรไปบ้าง:

  • บัตรประชาชนตัวจริง หรือสำเนาหนังสือเดินทาง (สำหรับชาวต่างชาติ)
  • หนังสือรับรองโสด (กรณีสมรสกับชาวต่างชาติ)
  • ใบสำคัญการหย่าตัวจริง (กรณีที่เคยจดทะเบียนสมรสมาก่อน)
  • พยาน 2 คน (พร้อมบัตรประชาชนของพยาน)
    แค่เตรียมเอกสารเหล่านี้ให้พร้อมก็สามารถไปจดทะเบียนกันได้อย่างราบรื่นเลยนะ

เส้นทางยาวนานสู่สมรสเท่าเทียม

ยุคบุกเบิกของการเรียกร้องสิทธิ LGBTQ+

การต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งกฎหมายสมรสเท่าเทียมนี่ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะทุกคน มันเป็นเส้นทางที่ยาวนานและเต็มไปด้วยอุปสรรคมากมายเลยนะ ถ้าจะพูดถึงยุคแรกๆ เลย ก็ต้องย้อนกลับไปในช่วงที่กลุ่มนักกิจกรรมอย่างกลุ่มอัญจารี พยายามทำให้สังคมเข้าใจว่า การรักเพศเดียวกันไม่ใช่ความผิดปกติทางจิต และยังได้ต่อสู้เพื่อยกเลิกระเบียบที่ไม่เป็นธรรมที่กีดกันคนที่มีความหลากหลายทางเพศจากการเป็นครูด้วยนะ ซึ่งทั้งหมดนี้มันแสดงให้เห็นถึงความพยายามและความมุ่งมั่นของทุกคนเลย

การต่อสู้เพื่อสมรสเท่าเทียมอย่างเป็นทางการเริ่มต้น

ถ้าจะพูดถึงการต่อสู้เพื่อสมรสเท่าเทียมโดยตรง เราต้องย้อนกลับไปในปี 2555 เลยนะ ตอนนั้นมีคู่รัก LGBTQ+ คู่หนึ่งที่ไปขอจดทะเบียนสมรสที่เชียงใหม่ แต่ก็ถูกปฏิเสธ เพราะกฎหมายในตอนนั้นอนุญาตให้แค่ผู้ชายกับผู้หญิงเท่านั้นที่แต่งงานกันได้ แต่ถึงแม้จะถูกปฏิเสธ พวกเขาก็ไม่ยอมแพ้ แล้วก็ยื่นเรื่องร้องเรียนไปยังกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จนนำไปสู่การร่างกฎหมายคู่ชีวิตขึ้นมาในปี 2556 ในที่สุด

การเคลื่อนไหวที่หลากหลาย: คู่ชีวิต vs. แก้ไขกฎหมายแพ่ง

หลังจากนั้นก็เกิดการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางว่า เราควรจะผลักดันกฎหมายคู่ชีวิต หรือควรจะแก้ไขกฎหมายแพ่งไปเลย ซึ่งกลุ่มนักเคลื่อนไหวก็มีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน บางกลุ่มก็สนับสนุนกฎหมายคู่ชีวิต แต่บางกลุ่มก็เห็นว่าการแก้ไขกฎหมายแพ่ง คือทางออกที่ดีที่สุด เพราะจะทำให้คนที่มีความหลากหลายทางเพศได้รับการยอมรับและสิทธิอย่างเท่าเทียมจริงๆ และสุดท้ายแนวคิดที่จะแก้กฎหมายแพ่งก็ได้กลายเป็นแนวทางที่เราใช้กันในปัจจุบัน

การผลักดันจากขบวนการคนรุ่นใหม่

และที่สำคัญเลยนะ การเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ในปี 2563 ก็มีบทบาทสำคัญมากๆ เพราะพวกเขาลุกขึ้นมาเรียกร้องเรื่องประชาธิปไตย และเรื่องความเท่าเทียมทางเพศไปพร้อมๆ กัน ซึ่งเป็นการปักธงทางความคิดที่สำคัญมาก ทำให้สังคมหันมาสนใจเรื่องสิทธิของ LGBTQ+ มากขึ้น และกลายเป็นแรงผลักดันสำคัญที่นำมาสู่การแก้ไขกฎหมายแพ่งในที่สุด

ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมสู่สภา

ในช่วงเวลาเดียวกัน พรรคก้าวไกลก็ยื่นร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมเข้าสู่สภา ทำให้เรื่องนี้ได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง และเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่เราเห็นในวันนี้

ไทม์ไลน์กฎหมายสมรสเท่าเทียม: จากจุดเริ่มต้นถึงวันที่เป็นจริง

เราลองมาดูเส้นทางการเดินทางของกฎหมายสมรสเท่าเทียมนี้กันแบบละเอียดเลยดีกว่า เพื่อให้เห็นว่ากว่าจะมาถึงวันนี้ได้ เราต้องผ่านอะไรมาบ้าง:

2555: จุดเริ่มต้นการเรียกร้อง

  • คู่รัก LGBTQ+ ที่เชียงใหม่ถูกปฏิเสธการจดทะเบียนสมรส
  • มีการร้องเรียนต่อกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

2556-2557: ร่าง พ.ร.บ. คู่ชีวิต

  • กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพเริ่มร่าง พ.ร.บ. คู่ชีวิต
  • มูลนิธิเพื่อสิทธิและความเป็นธรรมทางเพศเสนอร่าง พ.ร.บ. คู่ชีวิตฉบับประชาชน
  • เกิดความเห็นต่างระหว่างกลุ่มนักเคลื่อนไหว

2563: การเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่

  • การเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยและสิทธิความเท่าเทียมทางเพศ
  • พรรคก้าวไกลยื่นร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมเข้าสู่สภา

2565: การรับร่างกฎหมาย

  • สภาผู้แทนราษฎรรับร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมและร่าง พ.ร.บ. คู่ชีวิตในวาระที่ 1
  • ร่างกฎหมายตกไปหลังการยุบสภา

2566: การเริ่มต้นใหม่ของร่างกฎหมาย

  • ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมถูกบรรจุเข้าสู่สภาอีกครั้ง
  • สภามีมติรับหลักการร่างกฎหมายทั้ง 4 ฉบับ

2567: การผ่านกฎหมายอย่างเป็นทางการ

  • 27 มี.ค. 2567: สภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบร่างกฎหมายในวาระที่ 2-3
  • 18 มิ.ย. 2567: วุฒิสภามีมติเห็นชอบร่างกฎหมายในวาระที่ 2-3
  • 24 ก.ย. 2567: โปรดเกล้าฯ พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม ประกาศในราชกิจจานุเบกษา

2568: วันที่กฎหมายมีผลบังคับใช้

  • 23 ม.ค. 2568: พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ

สิทธิที่ได้รับจากการสมรสเท่าเทียม: มากกว่าแค่คำว่า “รัก”

สิทธิและผลประโยชน์ต่างๆ ที่คู่สมรสจะได้รับ

การแต่งงานสำหรับคู่รัก LGBTQ+ ไม่ได้มีความหมายแค่การแสดงความรักเท่านั้น แต่ยังมาพร้อมกับสิทธิและผลประโยชน์มากมายที่คู่สมรสควรได้รับอย่างเท่าเทียมกัน เช่น:

  • การแต่งงานจดทะเบียนเป็นคู่สมรสตามกฎหมายและมีสิทธิในการหย่า
  • การจัดการทรัพย์สินระหว่างคู่สมรสที่ทำมาหาได้ร่วมกัน
  • สิทธิในการได้รับประโยชน์และสวัสดิการจากรัฐในฐานะคู่สมรส
  • สิทธิในการให้ความยินยอมต่อการรักษาพยาบาลของคู่สมรส
  • สิทธิในการรับบุตรบุญธรรม

บทสรุป: ก้าวต่อไปของสังคมไทย

ในที่สุด การเดินทางที่ยาวนานก็สิ้นสุดลง แต่การเดินทางของสังคมไทยในเรื่องความเท่าเทียมยังคงดำเนินต่อไป กฎหมายสมรสเท่าเทียมเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการยอมรับความหลากหลายในสังคมของเรา และมันจะเป็นแรงบันดาลใจให้เราต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมในทุกๆ ด้านต่อไป

คำถามที่พบบ่อย

  1. ใครบ้างที่สามารถจดทะเบียนสมรสได้ในวันที่ 23 มกราคม 2568?
    • ทุกคนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ไม่ว่าจะมีอัตลักษณ์ทางเพศแบบไหนก็สามารถจดทะเบียนสมรสได้ หากมีคุณสมบัติครบถ้วนตามกฎหมาย
  2. ถ้าเคยจดทะเบียนสมรสแล้วหย่า สามารถจดทะเบียนสมรสใหม่ได้หรือไม่?
    • สามารถทำได้ เพียงแค่มีใบสำคัญการหย่าตัวจริงมายื่น
  3. ต้องใช้พยานกี่คนในการจดทะเบียนสมรส?
    • ต้องใช้พยาน 2 คน โดยพยานต้องมีบัตรประชาชนตัวจริงมาด้วย
  4. ถ้าคู่สมรสเป็นชาวต่างชาติ ต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง?
    • นอกจากบัตรประชาชนหรือสำเนาหนังสือเดินทางแล้ว ต้องมีหนังสือรับรองโสดจากประเทศของตนด้วย
  5. กฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลต่อการรับบุตรบุญธรรมอย่างไร?
    • คู่สมรสที่จดทะเบียนตามกฎหมายสมรสเท่าเทียมมีสิทธิในการรับบุตรบุญธรรมร่วมกันได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

ขอบคุณที่มา

สมรสเท่าเทียม: 23 ม.ค. 68 กฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลใช้บังคับวันแรก – BBC News ไทย

Close