ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการบัญชีต้นทุน (update)
การศึกษาในเรื่องการบัญชีต้นทุน สิ่งหนึ่งที่ควรจะทำความเข้าใจให้ชัดเจนก็คือความหมายและประเภทของต้นทุนในลักษณะต่าง ๆ ทั้งนี้จะทำให้เกิดแนวคิดเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับบัญชีต้นทุนต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ข้อมูลต้นทุนเพื่อการตัดสินใจของผู้บริหาร
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับบัญชีต้นทุนในปัจุจบัน
เคยสงสัยไหมว่า ทำไมสินค้าบางชนิดถึงมีราคาแพงกว่าอีกชนิด ทั้งที่วัตถุดิบอาจจะดูคล้ายคลึงกัน คำตอบส่วนหนึ่งก็มาจาก “ต้นทุน” นั่นเอง! บัญชีต้นทุน (Cost Accounting) คือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถวิเคราะห์ คำนวณ และควบคุมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นตลอดกระบวนการผลิต ในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับบัญชีต้นทุนเบื้องต้น ไปดูกันว่ามันทำงานอย่างไร และเพราะเหตุใดจึงเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับเจ้าของธุรกิจทุกคน
บัญชีต้นทุนคืออะไร?
บัญชีต้นทุน คือ ระบบการจัดเก็บ รวบรวม วิเคราะห์ และประเมินค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าหรือบริการ โดยมีเป้าหมายเพื่อคำนวณหาต้นทุนที่แท้จริงของสินค้าแต่ละหน่วย ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถตัดสินใจเรื่องต่างๆ ได้อย่างชาญฉลาด ตัวอย่างเช่น กำหนดราคาขาย ปรับปรุงกระบวนการผลิต ควบคุมค่าใช้จ่าย และประเมินผลกำไร
ทำไมความรู้เรื่องบัญชีต้นทุนจึงสำคัญ?
การรู้จักบัญชีต้นทุน เปรียบเหมือนการมีเข็มทิศทางธุรกิจ เพราะมันช่วยให้คุณ:
- กำหนดราคาขายอย่างแม่นยำ: คุณสามารถตั้งราคาขายที่เหมาะสม สร้างกำไร และแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ควบคุมต้นทุนการผลิต: คุณจะสามารถวิเคราะห์จุดที่สิ้นเปลือง ทรัพยากรที่ใช้ไป และหาวิธีลดต้นทุนได้ตรงจุด
- ตัดสินใจทางธุรกิจอย่างชาญฉลาด: ข้อมูลที่ได้จากบัญชีต้นทุน ช่วยให้คุณตัดสินใจเรื่องการผลิต การจัดซื้อ การลงทุน และการขยายกิจการได้อย่างมั่นใจ
- ประเมินผลการดำเนินงาน: คุณสามารถติดตามความสำเร็จของธุรกิจ ประเมินผลกำไร และวางแผนการบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิผล
ประเภทของต้นทุน
ในการคำนวณต้นทุน เราจำแนกประเภทของต้นทุนออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ดังนี้
- ต้นทุนทางตรง (Direct Cost): เป็นต้นทุนที่สามารถระบุและติดตามไปยังผลิตภัณฑ์หรือบริการแต่ละหน่วยได้โดยตรง ตัวอย่างเช่น ค่าวัตถุดิบ ค่าแรงงานโดยตรง ค่าเสื่อมของเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตสินค้าเฉพาะรายการ
- ต้นทุนทางอ้อม (Indirect Cost): เป็นต้นทุนที่ไม่สามารถระบุไปยังผลิตภัณฑ์หรือบริการแต่ละหน่วยได้โดยตรง มักเป็นค่าใช้จ่ายร่วมที่เกิดขึ้นตลอดกระบวนการผลิต ตัวอย่างเช่น ค่าไฟฟ้า ค่าเช่าโรงงาน ค่าเสื่อมของเครื่องจักร
กระบวนการคำนวณต้นทุน
การคำนวณต้นทุนสินค้าสามารถแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1: การรวบรวมข้อมูลต้นทุน
ขั้นตอนแรกคือการรวบรวมข้อมูลค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าหรือบริการ ข้อมูลเหล่านี้มาจากแหล่งต่างๆ เช่น ใบเสร็จรับเงิน ใบแจ้งหนี้ บัญชีเงินเดือน เอกสารเบิกจ่าย ฯลฯ
ขั้นตอนที่ 2: การจัดสรรค์ต้นทุน
ในขั้นตอนนี้ เราจะนำต้นทุนทางอ้อมไปจัดสรรค์ให้กับสินค้าหรือบริการแต่ละหน่วย วิธีการจัดสรรค์ที่นิยมใช้มีหลายวิธี เช่น วิธีอัตราส่วน วิธีจำนวนหน่วยผลิต วิธีชั่วโมงเครื่องจักร ฯลฯ
ขั้นตอนที่ 3: การคำนวณต้นทุนสินค้า
เมื่อได้ข้อมูลต้นทุนทางตรงและต้นทุนทางอ้อมที่จัดสรรค์แล้ว เราสามารถคำนวณต้นทุนสินค้าแต่ละหน่วยได้โดยสูตรดังนี้
ต้นทุนสินค้าต่อหน่วย = ต้นทุนทางตรง + ต้นทุนทางอ้อมที่จัดสรรค์
ระบบบัญชีต้นทุน
ระบบบัญชีต้นทุนมี 2 ประเภทหลักๆ ดังนี้
ระบบบัญชีต้นทุนแบบง่าย
ระบบบัญชีต้นทุนแบบง่าย เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่มีกระบวนการผลิตไม่ซับซ้อน ระบบนี้จะแยกแยะเฉพาะต้นทุนทางตรงและต้นทุนทางอ้อม โดยใช้วิธีการจัดสรรค์แบบง่ายๆ เช่น วิธีอัตราส่วนหรือวิธีจำนวนหน่วยผลิต
ระบบบัญชีต้นทุนแบบมาตรฐาน
ระบบบัญชีต้นทุนแบบมาตรฐาน เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีกระบวนการผลิตซับซ้อน ระบบนี้จะมีความละเอียดและซับซ้อนมากกว่าระบบแบบง่าย โดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์และคำนวณที่แม่นยำ ช่วยให้ได้ข้อมูลต้นทุนที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด
ประโยชน์ของการใช้บัญชีต้นทุน
การใช้บัญชีต้นทุน มีประโยชน์ต่อธุรกิจ ดังนี้
- ช่วยควบคุมต้นทุนการผลิต: ทำให้ผู้ประกอบการสามารถวิเคราะห์หาสาเหตุของต้นทุนที่สูง หาวิธีลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
- ช่วยกำหนดราคาขายอย่างมีประสิทธิภาพ: ข้อมูลต้นทุนช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถกำหนดราคาขายที่เหมาะสม สร้างกำไร และแข่งขันในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ช่วยวิเคราะห์การผลิตและการบริหารจัดการ: ข้อมูลต้นทุนช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน และโอกาสของธุรกิจ นำไปสู่การตัดสินใจที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
- ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน: ธุรกิจที่มีต้นทุนต่ำ ย่อมมีโอกาสในการแข่งขันในตลาดได้สูงกว่า
ข้อจำกัดของบัญชีต้นทุน
อย่างไรก็ตาม บัญชีต้นทุนก็มีข้อจำกัดอยู่บ้าง ดังนี้
- ข้อมูลย้อนหลัง: บัญชีต้นทุนให้ข้อมูลที่ผ่านมาแล้ว ไม่สามารถบอกอนาคตได้ ผู้ประกอบการจึงต้องวิเคราะห์ข้อมูลและคาดการณ์อนาคตประกอบด้วย
- ความซับซ้อนของระบบ: ระบบบัญชีต้นทุนแบบมาตรฐานมีความซับซ้อน ธุรกิจขนาดเล็กอาจไม่มีทรัพยากรและความรู้ที่เพียงพอในการนำระบบนี้มาใช้
บทสรุป
บัญชีต้นทุนเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับธุรกิจทุกประเภท ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถควบคุมต้นทุน กำหนดราคาขาย วิเคราะห์การผลิต และตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างชาญฉลาด แม้ว่าจะมีข้อจำกัดอยู่บ้าง แต่ประโยชน์ของบัญชีต้นทุนนั้นมีมากกว่า ธุรกิจที่เรียนรู้และนำระบบบัญชีต้นทุนมาใช้ ย่อมมีโอกาสประสบความสำเร็จในระยะยาว
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับบัญชีต้นทุน
1. บัญชีต้นทุนแตกต่างจากบัญชีการเงินอย่างไร?
บัญชีต้นทุนและบัญชีการเงินมีความคล้ายคลึงกันตรงที่ต่างก็เกี่ยวข้องกับข้อมูลทางการเงินของธุรกิจ แต่มีความแตกต่างกัน ดังนี้
- วัตถุประสงค์: บัญชีต้นทุนมีวัตถุประสงค์เพื่อคำนวณหาต้นทุนสินค้าหรือบริการ ช่วยให้ผู้ประกอบการควบคุมต้นทุน ตัดสินใจทางธุรกิจ และวิเคราะห์การผลิต ส่วนบัญชีการเงินมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงภาพรวมของสถานะทางการเงิน ผลประกอบการ และการเปลี่ยนแปลงทางการเงินของธุรกิจ ช่วยให้ผู้ใช้ข้อมูลตัดสินใจเกี่ยวกับธุรกิจ
- ข้อมูล: บัญชีต้นทุนมุ่งเน้นไปที่ข้อมูลต้นทุน เช่น ค่าวัตถุดิบ ค่าแรงงาน ค่าใช้จ่ายในการผลิต ส่วนบัญชีการเงินมุ่งเน้นไปที่ข้อมูลทางการเงินทั้งหมดของธุรกิจ เช่น สินทรัพย์ หนี้สิน ทุน รายได้ และค่าใช้จ่าย
- การใช้งาน: บัญชีต้นทุนใช้โดยผู้ประกอบการและผู้จัดการภายในธุรกิจ ส่วนบัญชีการเงินใช้โดยผู้ใช้ข้อมูลหลากหลายกลุ่ม เช่น นักลงทุน เจ้าหนี้ ลูกค้า หน่วยงานภาครัฐ
2. ธุรกิจขนาดเล็กจำเป็นต้องใช้บัญชีต้นทุนหรือไม่?
ธุรกิจขนาดเล็กก็สามารถใช้ประโยชน์จากบัญชีต้นทุนได้ แม้ว่าระบบบัญชีต้นทุนแบบมาตรฐานอาจจะซับซ้อนเกินไป แต่ธุรกิจขนาดเล็กสามารถใช้วิธีการบัญชีต้นทุนแบบง่าย เช่น การแยกแยะต้นทุนทางตรงและต้นทุนทางอ้อม ใช้วิธีการจัดสรรค์แบบง่ายๆ และคำนวณต้นทุนสินค้าต่อหน่วย ข้อมูลเหล่านี้ก็เพียงพอที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการควบคุมต้นทุน กำหนดราคาขาย และวิเคราะห์การผลิตได้
3. โปรแกรมบัญชีทั่วไปสามารถรองรับการใช้งานบัญชีต้นทุนได้หรือไม่?
โปรแกรมบัญชีทั่วไปบางโปรแกรมมีฟังก์ชันการทำงานสำหรับบัญชีต้นทุน แต่ฟังก์ชันการทำงานเหล่านี้อาจจะจำกัด ธุรกิจที่ต้องการใช้ระบบบัญชีต้นทุนแบบมาตรฐาน อาจจะต้องลงทุนในโปรแกรมบัญชีเฉพาะทาง
4. การจ้างนักบัญชีเพื่อดูแลระบบบัญชีต้นทุนมีค่าใช้จ่ายสูงหรือไม่?
ค่าใช้จ่ายในการจ้างนักบัญชีนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ขนาดของธุรกิจ ความซับซ้อนของระบบบัญชีต้นทุน และประสบการณ์ของนักบัญชี อย่างไรก็ตาม การลงทุนในระบบบัญชีต้นทุนที่ดี ย่อมคุ้มค่ากับผลลัพธ์ที่ได้ เพราะช่วยให้ธุรกิจประหยัดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และเพิ่มโอกาสในการแข่งขัน
5. มีแหล่งข้อมูลสำหรับศึกษาเกี่ยวกับบัญชีต้นทุนหรือไม่?
มีแหล่งข้อมูลสำหรับศึกษาเกี่ยวกับบัญชีต้นทุนมากมาย ทั้งในรูปแบบหนังสือ เอกสารออนไลน์ หลักสูตรฝึกอบรม และสัมมนา ผู้ประกอบการสามารถหาข้อมูลเหล่านี้ได้จากห้องสมุด สมาคมวิชาชีพบัญชี สถาบันการศึกษา หรือเว็บไซต์ของหน่วยงานภาครัฐ
สรุป
บัญชีต้นทุนเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับธุรกิจทุกประเภท ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถควบคุมต้นทุน กำหนดราคาขาย วิเคราะห์การผลิต และตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างชาญฉลาด ธุรกิจที่เรียนรู้และนำระบบบัญชีต้นทุนมาใช้ ย่อมมีโอกาสประสบความสำเร็จในระยะยาว
ข้อมูลเก่าก่อน Update ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับบัญชีต้นทุน
ต้นทุน (Cost) หมายถึง
มูลค่าของทรัพยากรที่สูญเสียไปเพื่อให้ได้สินค้าหรือบริการ โดยมูลค่านั้นจะต้องสามารถวัดได้เป็นหน่วยเงินตรา ซึ่งเป็นลักษณะของการลดลงในสินทรัพย์หรือเพิ่มขึ้นในหนี้สิน ต้นทุนที่เกิดขึ้นอาจจะให้ประโยชน์ในปัจจุบันหรือในอนาคตก็ได้ เมื่อต้นทุนใดที่เกิดขึ้นแล้วและกิจการได้ใช้ประโยชน์ไปทั้งสิ้นแล้ว ต้นทุนนั้นก็จะถือเป็น “ค่าใช้จ่าย” (Expenses) ดังนั้น ค่าใช้จ่ายจึงหมายถึงต้นทุนที่ได้ให้ประโยชน์และกิจการได้ใช้ประโยชน์ทั้งหมดไปแล้วในขณะนั้นและสำหรับต้นทุนที่กิจการสูญเสียไป แต่จะให้ประโยชน์แก่กิจการในอนาคตเรียกว่า “สินทรัพย์ (Assets)
เมื่อค่าใช้จ่าย (Expenses)
คือ ต้นทุนที่ก่อให้เกิดรายได้ (Revenue) โดยปกติแล้วก็จะนำไปเปรียบเทียบกับรายได้ที่เกิดขึ้นในงวดเดียวกันเพื่อคำนวณหากำไรสุทธิ (Profit) หรือขาดทุนสุทธิ (Loss) ซึ่งรายได้ก็จะหมายถึง ราคาขายของสินค้าหรือบริการ คูณกับปริมาณหรือระดับของกิจกรรม นอกจากนี้โดยปกติเราจะพบว่า คำว่า “ค่าใช้จ่าย” มักจะหมายถึงรายจ่ายที่สามารถให้ผลประโยชน์ทางภาษีได้ ด้วยเหตุนี้คำว่า “ค่าใช้จ่าย” จึงนิยมแสดงในรายงานทางการเงินที่เสนอบุคคลภายนอก แต่อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติแล้วการใช้คำว่า “ต้นทุน” และ “ค่าใช้จ่าย” ก็มักจะมีการใช้ทดแทนกันอยู่เสมอ เช่น สมมติว่าในวันที่ 10 มกราคม 2548 บริษัทได้ซื้อสินค้ามา 2 รายการ โดยมีต้นทุนรายการละ 20,000 บาท ในวันที่ 25 มกราคม 2548 บริษัทได้ขายสินค้าไป 1 รายการ จำนวน 26,000 บาท ดังนั้น เมื่อถึงวันสิ้นเดือนมกราคม บริษัทก็จะมีรายได้เท่ากับ 26,000 บาท ค่าใช้จ่าย 20,000 บาท และสินค้าคงเหลือ ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์อีก 20,000 บาท กำไรสุทธิก็จะเท่ากับ 6,000 บาท
ความหมายของต้นทุนมีหลายชนิดซึ่งจะแตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์ของการนำไปใช้ ในกระบวนการวางแผนและตัดสินใจ การเลือกใช้ต้นทุนที่เหมาะสมกับสถานการณ์ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด การนำต้นทุนไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ก็อาจทำให้การตัดสินใจผิดพลาดได้ ต้นทุนสามารถจำแนกได้ในลักษณะต่าง ๆ ดังนี้
- การจำแนกต้นทุนตามลักษณะส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์
- การจำแนกต้นทุนตามความสำคัญและลักษณะของต้นทุนการผลิต
- การจำแนกต้นทุนตามความสัมพันธ์กับระดับของกิจกรรม
- การจำแนกต้นทุนตามความสัมพันธ์กับหน่วยต้นทุน
- การจำแนกต้นทุนตามหน้าที่งานในสายการผลิต
- การจำแนกต้นทุนตามหน้าที่งานในกิจการ
- การจำแนกต้นทุนตามความสัมพันธ์กับเวลา
- การจำแนกต้นทุนตามลักษณะของความรับผิดชอบ
- การจำแนกต้นทุนตามลักษณะของการวิเคราะห์ปัญหาเพื่อตัดสินใจ
การบัญชีต้นทุน : โดยอาจารย์อนุรักษ์ ทองสุโขวง
ขอบคุณที่มาและอ่านบทความเต็มๆที่ https://home.kku.ac.th/anuton/cost%20accounting/cost%20split.htm
รุปภาพ https://pixabay.com/th
สนใจโปรแกรมบริหารโครงการ ต้นทุน / การบันทึกการทำงานพนักงาน แบบ online คลิก https://www.wisdomfirm.com/service-promotion/