ArticleSEO

คู่มือ SEO ฉบับสำหรับผู้เริ่มต้นในปี 2025

SEO : เพื่อนๆ รู้ไหมว่า 53% ของคนที่เข้าเว็บไซต์ธุรกิจทั้ง B2B และ B2C เนี่ย มาจากการค้นหาทั่วไป (Organic Search) เลยนะ! ธุรกิจมากมายเลยที่อยากได้คนเข้าเว็บแบบนี้ แต่ไม่รู้จะทำยังไง ซึ่ง SEO นี่แหละคือตัวช่วยสำคัญ ที่จะทำให้ลูกค้าที่กำลังมองหาสินค้าหรือบริการของเรา เห็นเราได้ง่ายขึ้น

การปรับแต่งเว็บไซต์ให้ถูกใจ Search Engine เนี่ย สำคัญมากนะ เพราะมันช่วยเพิ่มคนเข้าเว็บ แล้วยังทำให้แผนการตลาดออนไลน์ของเราประสบความสำเร็จด้วย คู่มือนี้จะเน้นเรื่องหลักๆ อย่างการวิจัยคำหลัก (Keyword Research) และการสร้างลิงก์ (Link Building) ที่เป็นเคล็ดลับสำคัญ ที่จะช่วยให้เราสู้กับแบรนด์ใหญ่ๆ ได้ การเข้าใจพื้นฐานของ SEO เลยสำคัญมาก เพราะมันจะช่วยทำให้ทุกคนอยู่ในสนามแข่งขันที่เท่าเทียมกันมากขึ้น

SEO ที่ดี ไม่ได้มีแค่การใช้คำหลักที่เกี่ยวข้องเท่านั้นนะ แต่มันยังรวมถึงการทำให้อันดับเว็บไซต์ของเราดีขึ้น แล้วก็ต้องทำให้คนเข้าเว็บของเรามีความสุขด้วย เพราะถ้าคนเข้ามาแล้วไม่ชอบ ก็จะกดออกไปเลย (Bouncing) ซึ่งจะทำให้เว็บเราไม่น่าสนใจ ดังนั้นการปรับปรุงคำอธิบาย (Meta Description) ก็สำคัญ เพราะจะช่วยเพิ่มอัตราการคลิกเข้ามาในเว็บของเรา (Click-Through Rate) และทำให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับที่ดีขึ้นบนหน้าแสดงผลการค้นหา (SERPs) ด้วย

ทำไม SEO ถึงสำคัญ?

ทำไมเราถึงต้องสนใจเรื่อง SEO ด้วยล่ะ? คำตอบง่ายๆ เลย ก็เพราะ SEO มีประโยชน์มากมายกับธุรกิจของเราไง หลายคนยังตัดสินใจอยู่ว่าการลงทุนใน SEO มันคุ้มค่าจริงหรือเปล่า? บอกเลยว่าคุ้ม เพราะถ้าเราไม่ทำ SEO ก็อาจจะโดนคู่แข่งแซงหน้าไปได้ง่ายๆ เลย เนื่องจากคนส่วนใหญ่ มักจะคลิกผลการค้นหาอันดับแรกๆ การที่เว็บไซต์ของเราติดอันดับสูงๆ บนหน้า SERPs ก็จะทำให้มีคนเข้ามาดูเว็บไซต์เรามากขึ้นไงล่ะ

ข้อดีของ SEO สำหรับธุรกิจของคุณ

  • SEO ช่วยเพิ่มคนเข้าเว็บแบบธรรมชาติ (Organic Traffic): ผลการวิจัยบอกว่า ผลการค้นหาอันดับต้นๆ จะได้อัตราการคลิก (CTR) ถึง 28.5% เลยนะ และการค้นหาแบบธรรมชาติเนี่ย เป็นส่วนสำคัญมากๆ ที่ทำให้เว็บของธุรกิจต่างๆ มีคนเข้าชมเยอะ แต่ถ้าคนเข้าเว็บแบบธรรมชาติเราน้อย ก็อาจจะทำให้ธุรกิจเราเติบโตช้า หรือถ้าต้องจ่ายเงินค่าโฆษณา ก็อาจจะทำให้เงินเราหมดไปเร็วได้ ดังนั้นการทำ SEO จะช่วยให้คนเข้าเว็บเราเยอะขึ้น โดยที่เราไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม แถมคนเข้าเว็บแบบธรรมชาติเนี่ยแหละ คือกลุ่มคนที่เข้ามาเพราะเขาสนใจจริงๆ ไม่ได้ถูกบังคับให้เข้ามาดู
  • SEO ทำให้ประสบการณ์การใช้งานเว็บดีขึ้น: Google ให้ความสำคัญกับผู้ใช้งานมาเสมอ ดังนั้น SEO ที่ดี ก็เลยจะทำให้ประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของเราดีขึ้นไปด้วย ถ้าผู้ใช้เข้ามาแล้วเจอสิ่งที่เขาต้องการ เขาจะไม่กดออกไปง่ายๆ หรอก ซึ่งถ้าคนกดออกไปเยอะๆ ก็จะทำให้ Conversion ของเราลดลงได้นะ แต่ไม่ต้องห่วง Google ได้อัปเดตอัลกอริทึม Page Experience ในปี 2021 แล้ว เพื่อให้มั่นใจว่าประสบการณ์การใช้งานที่ดี เป็นสิ่งสำคัญของเว็บไซต์ด้วย
  • SEO ประหยัดค่าใช้จ่ายกว่าการโฆษณา: จริงอยู่ที่ SEO อาจจะมีค่าใช้จ่ายบ้าง แต่เมื่อเทียบกับการโฆษณาแบบดั้งเดิมแล้ว ถือว่า SEO เป็นวิธีที่คุ้มค่ากว่ามากเลยนะ เพราะมันช่วยให้เราเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายได้ โดยที่เราไม่ต้องเสียเงินเยอะ แล้ว SEO ยังช่วยให้เราติดตามผลได้ง่ายด้วย โดยใช้เครื่องมือวิเคราะห์ต่างๆ ทำให้เราเห็นว่าความพยายามของเรานั้นได้ผลแค่ไหน ซึ่งเราอาจจะเลือกจ้างบริษัท SEO มาช่วยดูแลให้ หรือจะลองศึกษาแล้วทำเองก็ได้
  • SEO เป็นสิ่งที่อยู่กับเราไปตลอด: SEO อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ไปบ้าง แต่โดยรวมแล้ว มันจะยังคงอยู่กับเราไปตลอด เพราะลูกค้าหลายคนเลือกซื้อของออนไลน์มากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ถ้า SEO ของเราดี เราก็จะติดอันดับสูงขึ้น แล้วคนก็จะเห็นเรามากขึ้น

เครื่องมือค้นหาทำงานอย่างไร?

การทำความเข้าใจว่าเครื่องมือค้นหาอย่าง Google ทำงานยังไง ก็เป็นส่วนสำคัญของการเรียนรู้ SEO นะ หลายคนอาจจะยังงงๆ ว่า Google ทำงานยังไง ซึ่งถ้าไม่เข้าใจตรงนี้ ก็อาจจะทำให้เราปรับแต่งเว็บได้ไม่ดีเท่าที่ควร ลองมาดูขั้นตอนการทำงานของ Google กันครับ ซึ่งจะประกอบด้วย การรวบรวมข้อมูล (Crawling), การจัดทำดัชนี (Indexing) และการจัดอันดับ (Ranking)

ก่อนที่จะแสดงเว็บไซต์ของเราให้คนเห็น Google จะต้องทำ 3 ขั้นตอนหลักๆ ก่อน:

  1. การรวบรวมข้อมูล (Crawling): ขั้นตอนแรกคือการหาว่ามีเนื้อหาใหม่ๆ อะไรบนโลกอินเทอร์เน็ตบ้าง ซึ่ง Google จะใช้โปรแกรมที่เรียกว่า Googlebot หรือ Crawlers ในการทำหน้าที่นี้ โดยจะเริ่มจากเว็บไซต์ที่ Google รู้จักอยู่แล้ว แล้วตามลิงก์ต่างๆ ไปเรื่อยๆ ซึ่งเราสามารถช่วยให้ Googlebot ทำงานได้ง่ายขึ้น โดยการอัปเดตแผนผังเว็บไซต์ (Sitemap) ให้ Googlebot เข้าไปรวบรวมข้อมูลได้ง่ายๆ
  2. การทำดัชนี (Indexing): หลังจากที่ Googlebot รวบรวมข้อมูลมาได้แล้ว ก็จะนำข้อมูลนั้นไปเก็บไว้ในฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของ Google ซึ่งถ้ามีเนื้อหาซ้ำกัน ก็จะทำให้เว็บเราถูกจัดอันดับต่ำลง ดังนั้นเราควรหลีกเลี่ยงการใช้คำหลักซ้ำๆ และทำให้เนื้อหาของเรามีคุณภาพและเป็นเอกลักษณ์
  3. การจัดอันดับ (Ranking): เมื่อมีคนค้นหาอะไรก็ตาม Google จะนำผลการค้นหาที่เกี่ยวข้องที่สุด จากฐานข้อมูลที่ Google ทำดัชนีไว้แล้วมาแสดง ซึ่งเราเรียกว่าหน้าแสดงผลการค้นหา (SERPs) ถ้าเราอยากให้เว็บเราติดอันดับสูงๆ เราก็ต้องทำเนื้อหาที่ตอบคำถามของผู้ค้นหาได้ดี ซึ่งเราสามารถทำได้โดยการปรับปรุงคำอธิบาย (Meta Description) และการสร้างลิงก์ (Backlinks) เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์

ส่วนประกอบของ SEO

หลายคนอาจจะรู้สึกว่า SEO มันซับซ้อน มีปัจจัยเยอะแยะไปหมด แต่จริงๆ แล้วมันไม่ยากอย่างที่คิดนะ สิ่งสำคัญคือการทำให้ทุกอย่างง่ายเข้าไว้ SEO ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบหลักๆ คือ Technical SEO, On-Page SEO, Off-Page SEO และ Local SEO

มาดูกันว่าแต่ละองค์ประกอบคืออะไรบ้าง:

  • Technical SEO: Technical SEO คือการปรับแต่งโครงสร้างเว็บไซต์ของเรา เพื่อให้ Google เข้ามาเก็บข้อมูลและทำดัชนีได้ง่าย ซึ่งถ้าเว็บไซต์เรามี Technical SEO ที่ไม่ดี ก็อาจจะไม่ถูกทำดัชนีเลยก็ได้ ซึ่งถ้าไม่ถูกทำดัชนี ก็จะไม่แสดงในผลการค้นหาเลยนะ ดังนั้นเราจึงต้องใช้เครื่องมือต่างๆ อย่างไฟล์ robots.txt และ sitemap เพื่อให้มั่นใจว่าเว็บไซต์ของเราถูกทำดัชนีได้อย่างถูกต้อง โดยส่วนนี้จะเป็นเรื่องของหลังบ้านที่คนทั่วไปมองไม่เห็น แต่เครื่องมือค้นหาจะเห็น การปรับแต่ง Technical SEO ก็อย่างเช่น: โครงสร้างเว็บไซต์, ความเร็วของเว็บไซต์, โครงสร้าง URL, การเปลี่ยนเส้นทางที่เหมาะสม, การแสดงผลบนอุปกรณ์ต่างๆ (Responsive), ความปลอดภัยของเว็บไซต์
  • On-Page SEO: On-Page SEO คือทุกสิ่งที่เราทำเพื่อปรับแต่งหน้าเว็บของเราจริงๆ ซึ่งหลายคนมักจะละเลยองค์ประกอบบนหน้าเว็บ อย่างเช่น ชื่อและคำอธิบาย ซึ่งถ้าทำไม่ดีก็จะทำให้คนมองไม่เห็นเว็บเราได้ ดังนั้นเราต้องเน้นที่การวิจัยคำหลัก (Keyword Research), แท็กชื่อ (Title Tag) และคำอธิบาย (Meta Description) เพื่อให้คนคลิกเข้ามาดูเว็บเรามากขึ้น เนื้อหา (Content) ก็เป็นส่วนสำคัญของ On-Page SEO นอกจากที่เราต้องสร้างเนื้อหาที่ดีและให้ข้อมูลแล้ว เรายังต้องใช้คำหลักที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เว็บเราติดอันดับที่ดีขึ้นด้วย เนื่องจากเครื่องมือค้นหา ไม่ได้เป็นคนจริงๆ มันจึงไม่สามารถอ่านเนื้อหาของเราได้เหมือนคน ดังนั้นเราต้องใส่ข้อมูลที่เครื่องมือค้นหาเข้าใจได้ เพื่อให้มันรู้ว่าเนื้อหาของเราเกี่ยวกับอะไร ซึ่งกลยุทธ์ On-Page SEO ก็มี: การวิจัยคำหลัก, แท็กชื่อ, การใช้หัวเรื่องที่เหมาะสม, คำอธิบาย, การเชื่อมโยงภายในเว็บ, การปรับแต่งรูปภาพและวิดีโอ
  • Off-Page SEO: เมื่อเราทำ Technical SEO และ On-Page SEO ได้ดีแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ Off-Page SEO ซึ่งการได้ลิงก์กลับ (Backlinks) อาจจะเป็นเรื่องท้าทาย ถ้าไม่มี Backlinks เว็บไซต์ของเราก็อาจจะไม่มีอำนาจ ดังนั้นเราต้องใช้กลยุทธ์การสร้างลิงก์ต่างๆ เช่น การเขียนบทความให้กับเว็บไซต์อื่น (Guest Post) หรือการโปรโมทผ่านโซเชียลมีเดีย เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ ซึ่งเหมือนกับว่าเรามีเว็บไซต์ที่ดีมากๆ แล้ว แต่ก็ต้องบอกให้คนอื่นรู้ด้วย และวิธีการบอกที่ดีที่สุดก็คือ การที่เว็บไซต์อื่นมาเชื่อมโยงมายังเว็บของเรา ซึ่งกลยุทธ์ Off-Page SEO ก็มี: การสร้างลิงก์, การเขียนบทความให้กับเว็บไซต์อื่น, การโปรโมทผ่านโซเชียลมีเดีย, การบุ๊กมาร์กโซเชียล
  • Local SEO: Local SEO เป็นเรื่องของการทำให้เว็บไซต์ธุรกิจของเรา ติดอันดับเมื่อมีคนค้นหาในพื้นที่ของเรา ซึ่งธุรกิจในท้องถิ่นมักจะต้องแข่งขันกับบริษัทใหญ่ๆ และถ้าเราไม่สนใจ Local SEO ก็อาจจะทำให้คนในพื้นที่มองไม่เห็นเราได้ ดังนั้นเราควรปรับแต่งโปรไฟล์ Google My Business ของเราให้ดี แล้วก็ใช้คำหลักที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ของเรา เพื่อให้ Google รู้ว่าเราให้บริการในพื้นที่ไหน นอกจากนี้เราอาจจะสร้างหน้าหรือส่วนที่บอกที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ของบริษัทเราไว้บนเว็บไซต์ด้วย ซึ่งกลยุทธ์ Local SEO ก็มี: โปรไฟล์ Google My Business, ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ (NAP), การอ้างอิงในท้องถิ่น, บทวิจารณ์ออนไลน์

ใน SEO เนื้อหาคือราชา

เคยได้ยินคำนี้ไหม “Content is King” ในโลกของ SEO น่ะ เนื้อหาคือราชาจริงๆ นะ! องค์ประกอบต่างๆ ที่พูดมาทั้งหมดของ SEO นั้น จะไม่มีความหมายเลย ถ้าไม่มีเนื้อหาที่ดี มีคุณภาพและให้ข้อมูล ถ้าเราอยากให้คนเข้ามาในเว็บไซต์ของเรานานๆ หรืออยากให้เขากลับมาเยี่ยมชมอีก เราก็ต้องสร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์ความต้องการของเขา

Google จะใช้ปัจจัยหลายอย่างในการจัดอันดับเว็บไซต์ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ เนื้อหาของเราตอบคำถามของผู้ใช้ได้หรือไม่ ถ้าคนสามารถหาคำตอบที่ต้องการได้บนเว็บไซต์ของเรา เขาก็จะอยู่ในเว็บของเรานานขึ้น แล้วก็จะเข้าไปดูหน้าอื่นๆ ของเราด้วย นอกจากนี้ คนอาจจะให้ Backlinks กับเราด้วย เนื่องจากเนื้อหาของเราดี ซึ่งสัญญาณเหล่านี้จะทำให้ Google รู้ว่าเว็บไซต์ของเรามีประโยชน์ และจะจัดอันดับเว็บไซต์ของเราให้สูงขึ้นในหน้า SERPs

และองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของการเขียนเนื้อหาสำหรับเว็บไซต์ของเราก็คือ การวิจัยคำหลัก (Keyword Research)

การวิจัยคำหลัก (Keyword Research):

การหาหัวข้อใหม่ๆ มาเขียน อาจจะต้องใช้ความพยายามอย่างมาก แต่การวิจัยคำหลัก จะช่วยให้เราตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ว่าเราควรจะเขียนเรื่องอะไร เพื่อให้มีคนเข้ามาดูเว็บของเรามากขึ้น การวิจัยคำหลัก คือการหาว่ากลุ่มเป้าหมายของเรากำลังค้นหาอะไร และยังดูว่าคำหลักนั้นมีคนค้นหาเยอะแค่ไหน และยากแค่ไหนที่เราจะทำให้คำหลักนั้นติดอันดับ ซึ่งก็มีเครื่องมือมากมายทั้งแบบฟรีและเสียเงิน ที่จะช่วยให้เราหาคำหลักและไอเดียหัวข้อได้ อย่างเช่น: Google Keyword Planner, Ahrefs, Ubersuggest และอื่นๆ สำหรับมือใหม่ เครื่องมือเหล่านี้อาจจะดูซับซ้อน แต่ไม่ต้องห่วง ลองศึกษาดูว่าคนในวงการของเราเขากำลังเขียนอะไรกัน หรือลองใช้คำแนะนำจาก Google ก็ได้ เมื่อเราพิมพ์คำอะไรลงไปในช่องค้นหา Google ก็จะแนะนำคำที่คนอื่นกำลังค้นหา ที่เกี่ยวข้องกับคำนั้น

SEO โดยสรุป

เราได้พูดถึงรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับ SEO ไปเยอะแล้ว มาสรุปกันอีกครั้งครับว่า SEO คืออะไร และทำไมถึงสำคัญกับธุรกิจของเรา

โดยสรุป SEO มี 5 ขั้นตอนหลักๆ:

  1. การวิจัยคำหลัก: คือการหาว่าคนกำลังมองหาอะไร
  2. การสร้างเนื้อหา: เมื่อรู้แล้วว่าคนต้องการอะไร ก็สร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ ที่ตอบสนองความต้องการนั้น
  3. On-Page SEO: ใช้หัวเรื่องที่เหมาะสม รูปภาพที่ปรับแต่งแล้วในเนื้อหา ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสบการณ์การใช้งาน
  4. การสร้างลิงก์: พยายามสร้างความน่าเชื่อถือและอำนาจจากเว็บไซต์อื่นๆ
  5. Technical SEO: ดูแลโครงสร้างเว็บไซต์ให้เรียบง่าย เพื่อให้ Googlebot เข้ามาเก็บข้อมูลและทำดัชนีได้ง่าย

เราสามารถศึกษาและทำการวิจัยเกี่ยวกับขั้นตอนเหล่านี้ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ด้าน SEO ของเราให้มากขึ้น

ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับประสิทธิภาพของ SEO

มาดูข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลลัพธ์ของ SEO ล่าสุดกันครับ

สถิติ/ปัญหา
ค่า
คำอธิบาย/วิธีแก้ไข
ปริมาณการเข้าชมจากการค้นหาแบบ Organic
53% ROI
การค้นหาแบบ Organic สร้างคนเข้าเว็บเกินครึ่ง พิจารณาการตลาดเนื้อหาและการวิจัยคำหลัก เพื่อเพิ่มจำนวนคนเข้าเว็บ
ความคุ้มค่า
748% ROI
เมื่อเทียบกับการโฆษณาแบบเสียเงิน SEO ให้ผลตอบแทนจากการลงทุนสูงกว่า ใช้ทรัพยากรฟรีและกลยุทธ์ต้นทุนต่ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาที่มีอยู่
อัตราการคลิกผ่าน (CTR)
75% คลิก
3 อันดับแรกในผลการค้นหาได้ 75% ของการคลิกทั้งหมด ใช้ SEO และเนื้อหาดีๆ เพื่อให้อันดับสูงขึ้น
ผลกระทบต่อประสบการณ์ผู้ใช้
เชิงบวก
SEO ที่ดี ช่วยให้ผู้ใช้พึงพอใจ และลดอัตราการตีกลับ ตรวจสอบและปรับปรุงความสะดวกในการใช้งานและความเร็วในการโหลด
อัตรา Conversion
เพิ่มขึ้น 30%
สำหรับ Leads จาก SEO อัตรา Conversion สูงกว่า ทำให้หน้า Landing Page เป็นมิตรต่อผู้ใช้มากขึ้น
ความสำคัญของการค้นหาในท้องถิ่น
78% ของ Conversion ออฟไลน์ และ 46% ของการค้นหาในท้องถิ่น
Local SEO สำคัญมากสำหรับธุรกิจ เพิ่มการมองเห็นโดยใช้คำหลักในท้องถิ่น และปรับแต่ง Google My Business
ประโยชน์ระยะยาว
59% ของแคมเปญ SEO ให้ผลตอบแทนที่ดี
ภายในหนึ่งปี ธุรกิจส่วนใหญ่จะเห็นผลตอบแทนจากการลงทุนใน SEO ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ เพื่อติดตามความก้าวหน้าสม่ำเสมอ

บทสรุป

โดยสรุป การปรับแต่งเว็บไซต์ให้เหมาะกับเครื่องมือค้นหา (SEO) เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ สำหรับคนที่อยากจะเพิ่มคนเข้าชมเว็บไซต์ แต่ธุรกิจจำนวนมากยังลังเลที่จะลงทุนใน SEO เพราะความเข้าใจผิด แต่ถ้าไม่มี SEO เว็บไซต์ของเราก็อาจจะหลงทางไปในโลกดิจิทัลได้ ดังนั้น การใช้เทคนิคในคู่มือนี้ จะช่วยเพิ่มการมองเห็นบน Google และเครื่องมือค้นหาอื่นๆ ได้ แม้ว่า SEO จะดูซับซ้อน แต่คู่มือสำหรับผู้เริ่มต้นนี้ จะช่วยทำให้มันง่ายขึ้น

SEO ที่ดี ช่วยให้ทุกธุรกิจ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ได้เปรียบในการแข่งขัน การเข้าใจว่าเครื่องมือค้นหาทำงานยังไง ก็สำคัญมากสำหรับการเพิ่มการมองเห็น และเราก็ต้องใส่ใจทั้งเรื่อง Technical SEO, การสร้างลิงก์, การปรับแต่งคำอธิบาย (Meta Description) และอื่นๆ อย่าลืมว่า SEO ต้องใช้เวลา เราอาจจะเห็นการเปลี่ยนแปลงใน Organic Traffic และอัตราการคลิก (Click-Through Rate) ภายใน 2-3 สัปดาห์ ดังนั้น อดทน แล้วผลลัพธ์ที่ได้จะนำไปสู่คนเข้าเว็บและ Leads ที่เพิ่มขึ้นแน่นอน

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

ขั้นตอนแรกของการทำ SEO สำหรับเว็บไซต์ของคุณคืออะไร?

การวิจัยคำหลัก (Keyword Research) คือขั้นตอนแรกเลยครับ เราต้องรู้ก่อนว่ากลุ่มเป้าหมายของเรากำลังมองหาอะไร แล้วเราค่อยสร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์ความต้องการนั้น

On-Page SEO ทำงานยังไง?

On-Page SEO คือการปรับแต่งทุกอย่างบนหน้าเว็บของเรา ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหา, โค้ด, รูปภาพ เพื่อให้หน้าเว็บของเราอยู่ในตำแหน่งที่ดีในผลการค้นหา ซึ่งรวมถึงการสร้างเนื้อหาให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ด้วย

จะทำ SEO ให้ได้ 100% ได้ยังไง?

ถ้าเราทำตามนี้ เราก็จะสามารถทำ SEO ได้ 100% ครับ:

  • ทุกหน้าเว็บต้องใช้งานได้
  • ทุกหน้าต้องมี Meta Tags
  • ต้องมีหัวเรื่องและหัวข้อย่อยที่เกี่ยวข้อง
  • ใช้ BlogPatcher ในการปรับแต่งเนื้อหา
  • ลดขนาดไฟล์รูปภาพ

ความรู้พื้นฐานของ SEO คืออะไร?

SEO คือการสร้างเนื้อหาที่ดี มีคุณภาพ และให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือในหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง แล้วก็ปรับแต่งให้ถูกใจเครื่องมือค้นหา เพื่อให้ธุรกิจของเราปรากฏขึ้นเมื่อลูกค้าที่มีศักยภาพค้นหาคำที่เกี่ยวข้อง

เราต้องทำ SEO ทุกหน้าไหม?

ใช่ครับ SEO คือการทำตามแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด เพื่อเพิ่มตำแหน่งของเว็บไซต์ในผลการค้นหาของ Google ดังนั้น การปรับแต่งทุกหน้าเว็บจึงมีความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเรามีหลายหน้า อย่างเช่นหน้าสำหรับแต่ละผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เรามี

Close
WiSDOM FiRM
Privacy Overview

This website uses cookies so that we can provide you with the best user experience possible. Cookie information is stored in your browser and performs functions such as recognising you when you return to our website and helping our team to understand which sections of the website you find most interesting and useful.